เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ทั่วไทย
พ้อแนวทางรัฐบาลยกเลิกมาตรการซื้อข้าวโพด 3
ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกร
แต่ซ้ำเติมให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นเพราะเนื้อสัตว์ยังถูกควบคุม
ควรพิจารณากลไกตลาดมาเป็นตัวกำหนดราคา ก่อนเกษตรกรถอดใจเลิกเลี้ยง
นางฉวีวรรณ คำพา
นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า
มติที่ประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ไก่เนื้อ สุกร
และไก่ไข่
และตัวแทนเกษตรกรด้านการเพาะปลูก เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน
ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าสูงขึ้น ทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปุ๋ยและผลไม้
โดยที่ประชุมเห็นชอบยกเลิกมาตรการ 3:1
ที่กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3
ส่วนต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน เป็นการชั่วคราว
และให้นำเข้าข้าวสาลีได้เสรีจนถึงวันที่ 31 ก.ค. 65
ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวโพดยังไม่ออกสู่ตลาดและต้องนำเข้าภายใต้โควต้าที่กำหนดเท่านั้น
“ภาครัฐ
ยังต้องกำหนดรายละเอียดนำเข้าและวันที่เริ่มนำเข้าซึ่งต้องใช้เวลา
ยังโดนจำกัดด้วยโควต้านำเข้าและระยะเวลา เพื่อปกป้องชาวไร่ข้าวโพด
แต่ทอดทิ้งเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ให้แบกภาระต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งสุงขึ้นแรงมากในปีนี้และเป็นต้นทุนการเลี้ยง
60-70% ของการเลี้ยง ขณะที่อาหารสัตว์และเนื้อสัตว์
โดนควบคุมราคาทั้งห่วงโซ่การผลิต” นางฉวีวรรณ กล่าว
สำหรับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน
ส่งผลกระทบต่อภาคปศุสัตว์ทั่วโลกรวมทั้งไทย
เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตธัญพืชรายใหญ่ของโลกทั้งข้าวโพดและข้าวสาลี
ทำให้ไทยไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีได้ตามปกติขณะที่ราคาพุ่งขึ้น 43% จาก 8.91 บาท/กก. เป็น 13 บาท/กก. และข้าวโพดจาก 10.05 บาท/กก. เป็น 13 บาท/กก.
นางฉวีวรรณ กล่าวย้ำว่า
แม้ภาครัฐจะยกเลิกมาตรการ 3:1 เป็นการชั่วคราว
ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคปศุสัตว์
ที่ผ่านมาสมาคมฯในฐานะตัวแทนเกษตรกเรียกร้องไปยังภาครัฐให้พิจารณานำกลไกการตลาดมาใช้แทนมาตรการควบคุมราคา
เพื่อให้ราคาปรับขึ้นลงอย่างสมดุลตลอดห่วงโซ่การผลิตตามหลักการอุปสงค์ (Demand)
และอุปทาน (Supply) จึงควรยกเลิกการคุมราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์และราคาเนื้อสัตว์
ให้ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาด โดยมีภาครัฐเป็นผู้กำกับดูแล
ทั้งนี้ กรมการค้าภายใน
ใช้มาตรการกำหนดราคาจำหน่ายไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม และราคาจำหน่ายปลีกชิ้นส่วนไก่สด
เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ไปสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2565
เพื่อลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภค
ขณะที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้ผู้ประกอบการ ผู้ค้า
และฟาร์มเลี้ยงไก่ต้องปฏิบัติตามมาตรการดังนี้ 1.ผู้เลี้ยงไก่ที่มีปริมาณการเลี้ยงตั้งแต่
100,000 ตัวขึ้นไป และโรงชำแหละไก่ที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 4,000 ตัว/วัน ต้องแจ้งปริมาณ สต็อกและต้นทุนราคาจำหน่ายทุกเดือน 2.โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ทั้ง 55 โรง
ต้องแจ้งต้นทุนราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิตและสต็อก และ 3.การปรับราคาสินค้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมการค้าภายใน
นางฉวีวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า
ภาคผู้เลี้ยงสัตว์ขาดทุนสะสมต่อเนื่องจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองสูงขึ้นโดยตลอด
ในปี 2564 ราคาปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 30-40%
ร่วมถึงปัจจัยการผลิตและการป้องกันโรคระบาดปรับราคาสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย
การปล่อยให้ราคาเนื้อไก่ที่ปรับสูงขึ้นตามกลไกตลาดจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ให้มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมและขายสินค้าได้ในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุน
ที่สำคัญยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
“หากรัฐบาลยังคงใช้มาตรการการคุมราคาสินค้าภาคปศุสัตว์ทั้งห่วงโซ่การผลิตต่อไป
จะส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงรายย่อยและรายเล็กไม่สามารถแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้
ที่ผ่านมาเนื้อไก่เป็นอาหารโปรตีนคุณภาพดีย่อยง่าย เป็นทางเลือกทดแทนยามเนื้อหมูราคาแพงและขาดแคลน
และยังคงเป็นอาหารที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ทั่วไปในราคาที่เป็นธรรม
หากราคาเนื้อสัตว์โดนควบคุมต่อไปไม่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต
ผู้เลี้ยงไม่สามารถอยู่ได้ก็ต้องหยุดเลี้ยง อาจทำให้เกิดปัญหาอาหารขาดแคลนได้”
นางฉวีวรรณ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น