GPSC ดัน CHPP บริษัทในเครือ ผนึก ม.เทคโนโลยีสุรนารี รุกโครงการติดตั้งโซลาร์บนหลังคา-โซลาร์ลอยน้ำ ผสานนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ทั้ง BESS, Block Chain และ AI เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และจำหน่ายไฟฟ้า รวม 6 เมกะวัตต์ สู่โหมดซื้อขายไฟฟ้ารูปแบบ PPPA โดยใช้นวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของกฟภ. เพื่อให้ได้มาซึ่งโซลูชั่นพลังงานหมุนเวียนที่มั่นคง เชื่อถือได้ และมีเสถียรภาพที่ใช้ในมหาวิทยาลัย ด้วยงบลงทุนราว 150 ล้านบาท ประหยัดค่าพลังงานไฟฟ้าได้กว่า 510 ล้านบาทตลอดอายุโครงการ 25 ปี พร้อมยกระดับเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานอัจฉริยะแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นโมเดลเมืองพลังงานไมโครกริดอัจฉริยะ
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า วันนี้ (28 กันยายน 2563) ได้มีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการวิจัยและพัฒนาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และบริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด หรือ CHPP ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม GPSC ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 100% เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังผลิตรวมประมาณ 6 เมกะวัตต์ เพื่อสร้าง “Low carbon university” สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคให้กับมหาวิทยาลัยฯ ผ่านสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารูปแบบเอกชนกับเอกชน (Private PPA) อีกทั้งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้นวัตกรรมด้านพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้แก่บุคลากร นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจ โดยใช้งบประมาณดำเนินการราว 150 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้ในปี 2565 เป็นต้นไป
สำหรับโครงการดังกล่าว จะแบ่งการติดตั้งเป็น 3 ส่วนได้แก่ (1)การติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ของอาคารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 8 อาคารขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า รวมประมาณ 1.68 เมกะวัตต์ โดยใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบชนิด Mono PERC Half-Cell Module (2) การติดตั้ง Solar Rooftop บริเวณหลังคาทางเดิน อาคารบริหาร ขนาดกำลังติดตั้ง 60 กิโลวัตต์ ด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบชนิด Bifacial cells แทนการใช้หลังคาทั่วไป และ (3) การติดตั้งโซลาร์ชนิดลอยน้ำ (Solar Floating) ในอ่างเก็บน้ำสุระ 1 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง รวมประมาณ 4.312 เมกะวัตต์ ซึ่งจุดเด่นของระบบนี้อยู่ที่ทุ่นลอยน้ำซึ่งเป็นเทคโนโลยีของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC บริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่ใช้วัตถุดิบ (Raw Material) เป็นเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเกรดพิเศษที่ผสมของสารกันแสง UV จาก ที่มีคุณสมบัติคงทนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้หลังจากสิ้นสุดอายุการใช้งาน ในด้านความร่วมมือการวิจัยและพัฒนา ได้มีแนวคิดการนำ data engineering จากระบบมาต่อยอด เพื่อจัดการรูปแบบพลังงานไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
พร้อมกันนี้ ยังมีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง (Battery Energy Storage System: BESS) ชนิด Lithium ion Battery ขนาด 100 กิโลวัตต์/200 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้กับอาคารหอพักสุรนิเวศ พร้อมด้วยการวางระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยี่ Block Chain ในการบริหารจัดการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการติดตั้งระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสามารถควบคุมและติดตามผลการทำงานแบบ Real Time และยังสามารถนำข้อมูลต่างๆ มาใช้ในการตัดสินใจ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศและความเข้มของแสงอาทิตย์มาวิเคราะห์ปริมาณความสามารถในการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ล่วงหน้า เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปบริหารจัดการในการเพิ่มความแม่นยำของประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า
“ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นความร่วมมือที่สำคัญที่จะทำให้การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมพลังงานทดแทนของไทยให้ก้าวหน้ามากขึ้น โดยเป็นการดึงนวัตกรรมต่างๆ ที่ทันสมัยมาบริหารทั้งระบบ AI, BESS ระบบซื้อขายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Energy Platform (SEP)) เพื่อซื้อขายไฟฟ้าจากโซลาร์ฯ ระหว่างอาคาร โดยการพัฒนาครั้งนี้ จะเป็นการสนับสนุนการวิจัยด้านพลังงานทดแทนของนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยฯ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจอื่นๆ นอกจากนี้ ยังเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการค้าในอนาคตได้อีกด้วย” นายชวลิตกล่าว
รศ.ดร.วีรพงษ์ แพสุวรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีกล่าวว่า ความร่วมมือโครงการดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า จากปัจจุบันที่มีค่าไฟฟ้ากว่า 100 ล้านบาทต่อปี ด้วยวิธีการที่เราสามารถใช้ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยฯ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ 4.3 MW บนอ่างเก็บน้ำสุระ และแผงโซลาร์เซลล์ 1.7 MW บนหลังคา ดังนั้น การพัฒนาโครงการนำระบบพลังงานทดแทนที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อมาทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากฟอสซิล จะทำให้มหาวิทยาลัยฯ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากระบบพลังงานทดแทนได้กว่า 8.5 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี หรือคิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 510 ล้านบาท ตลอดอายุโครงการ 25 ปี และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 115,000 ตัน นอกจากนี้ ในส่วนของ Solar Floating จะช่วยลดการระเหยน้ำในสระน้ำมากกว่า 30,000 ลบ.ม./ปี อีกด้วย
ในอนาคตโครงการฯ ยังมีแผนจัดตั้งให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทั้งภาครัฐและเอกชน หน่วยงานด้านการศึกษาและชุมชนต่างๆ เพื่อเข้ามาเยี่ยมชมและศึกษาดูงานสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระบบไมโครกริด และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่สามารถผลิตใช้ได้เอง และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น