วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่มหกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ สืบสานงานพ่อ พัฒนาส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน

 



“พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ สานต่อพระราชปณิธานด้านเกษตร”  เปิดมหกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ‘สืบสานงานพ่อ พัฒนา ส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน’ อย่างยิ่งใหญ่ 

วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชนจังหวัดปทุมธานี เปิดงานมหกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ “สืบสานงานพ่อ พัฒนา ส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน Agri’ Museum” โดยมีนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน  โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เกษตรฯให้การต้อนรับ  จากนั้นได้เดินชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “สืบสาน รักษาพระราชปณิธาน ในสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนีและนิทรรศการจากเครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯที่ร่วมมาจัดแสดงภายในงาน

นายประยูร  อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวถึงความเป็นมาในการจัดงาน มหกรรม “สืบสานงานพ่อ พัฒนา ส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน”ว่า  มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และเผยแพร่พระเกียรติคุณพระอัจฉริยภาพ ด้านการเกษตร ที่ทรงมีพระราชปณิธานที่ สืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชกรณียกิจและพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้านการพัฒนาเกษตรกรรมไทยตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อนำไปสู่การบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่พสกนิกรชาวไทย และพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างพอเหมาะ พอควร มั่นคงและยั่งยืน ที่สำคัญภายในงานยังมีกิจกรรมให้ประชาชนที่เข้ามาชมงานได้เรียนรู้อย่างหลากหลาย จากเกษตรกรผู้น้อมนำศาสตร์ของพระราชาไปประยุกต์ใช้และเกิดความสำเร็จ สามารถพึ่งตนเองได้ทั้งอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ ที่สำคัญเป็นต้นแบบให้คนที่สนใจได้เข้าไปเรียนรู้และประยุกต์ใช้ได้ด้วย มีนิทรรศการที่น่าสนใจจากภาครัฐและภาคีความร่วมมือ รวมทั้งมีตลาดเศรษฐกิจพอเพียงที่สะท้อนเรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับพื้นที่อีกด้วย ซึ่งการจัดงานมหกรรมครั้งนี้ จึงมีความสำคัญยิ่งที่ประชาชนคนไทยไม่ควรพลาด และต้องมาเก็บเกี่ยวความรู้ ประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตนเองต่อไป 

ทางด้านพันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ  กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมที่สำคัญภายในงานว่า   จะมีการจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “สืบสาน รักษา พระราชปณิธาน ในสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี” นิทรรศการจากเครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ ถ่ายทอดองค์ความรู้แนวทางการสืบสานพระราชปณิธานจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 ผ่านองค์ความรู้ที่คัดสรรจาก 28 ศูนย์เรียนรู้เครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ สู่นิทรรศการตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทำ จากทั้ง 4 ภาค ผ่านฐานนิทรรศการทั้ง 8 ฐานได้แก่ ฐาน “ดินดีพืชดีมีชีวิต” ถ่ายทอดองค์ความรู้การบำรุงดินการใช้หญ้าแฝกและพืชตระกูลถั่ว เทคนิคการบำรุงพืชด้วยจุลินทรีย์ และการขยายพันธุ์พืช ฐาน “โคก หนอง นา น้ำใต้ดิน” การประยุกต์ใช้หลักเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อจัดการพื้นที่และใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดที่เหมาะกับทรัพยากรและภูมิสังคม ฐาน “สร้างป่า สร้างรายได้” พาไปรู้จักกับ “วนเกษตร” เพื่อการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน และการจัดการพื้นที่โดยใช้แนวคิด เกษตรผสมผสาน ฐาน “จิ๋วแต่แจ๋ว (จุลินทรีย์)” เรียนรู้จุลินทรีย์สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วแต่ประโยชน์มหาศาล ที่มาช่วยเปลี่ยนดินให้เป็นทอง ฐาน “กินเป็นยา” เรียนรู้การดูแลสุขภาพดีวิถีพอเพียง และการสร้างอาหารที่ปลอดภัยเพื่อสุขภาพกายใจที่สมบูรณ์ 

ฐาน“เกษตรก้าวไกล” เจาะลึกกลไกการบริหารจัดการพื้นที่ขนาดเล็กในการทำการเกษตร และการทำเกษตรพอเพียงเมือง ฐาน“ภูมิปัญญาสร้างอาชีพ” ถ่ายทอดองค์ความรู้แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง สู่การสร้างสรรค์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน และฐาน “เมล็ดพันธุ์ของพระราชา” จัดแสดงพันธุกรรมพื้นบ้าน พันธุกรรมชนเผ่า พันธุกรรมหายาก และพันธุ์ข้าวไร่ ซึ่งทุกฐานเปิดให้ทดลอง เรียนรู้ ลงมือปฏิบัติจริง พร้อมการอบรมเรียนรู้วิชาของแผ่นดินและหลักสูตร Workshop กว่า 12 วิชา จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและเกษตรกรต้นแบบทั้งในรูปแบบ Onsite และ Online โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตลอดทั้ง 3 วัน 

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ภายใน 4 อาคาร โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อาทิ พิพิธภัณฑ์ในหลวงรักเรา พิพิธภัณฑ์มหัศจรรย์พันธุกรรม พิพิธภัณฑ์ดินดล และพิพิธภัณฑ์สนองพระราชปณิธาน พร้อมรับชมภาพยนตร์แอนิเมชัน 3 มิติ และโรงภาพยนตร์ 7 มิติแบบทะลุจอ อีกทั้งยังมีกิจกรรมพิเศษ อาทิ การหล่อเหรียญพระบรมฉายาลักษณ์ การประดิษฐ์

ของที่ระลึก และกิจกรรมแชะ แชร์ เช็คอิน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงอย่างสร้างสรรค์ ชม ชิม ช้อป สินค้าเกษตรคุณภาพกว่า 200 ร้านค้า นำเสนอผลผลิตปลอดภัยตามฤดูกาล ผลิตภัณฑ์แปรรูป และของดีจากเครือข่ายเกษตรกรทั่วประเทศ 

   ขอเชิญประชาชนร่วมงานมหกรรม “สืบสานงานพ่อ พัฒนา ส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 4 – 6 กรกฎาคม 2568 เวลา 08.00 – 17.00 พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดปทุมธานี หรือร่วมเรียนรู้ออนไลน์ผ่าน Facebook และ YouTube พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ ได้ตลอดทั้งวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-529-2212-13, 087-359-7171 คลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.wisdomking.or.th หรือFacebook พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ


วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เริ่มแล้ว! AgriSpark Hackathon – Hack the Hills 2025 ร่วมเฟ้นหานวัตกรรมเกษตรลดการเผาชิงรางวัลมูลค่า 20,000 บาทส่งผลงานได้ถึง 31 ก.ค.68

 


โครงการเยอรมันไทยด้านการเกษตร (GETHAC/จีแทคร่วมกับ กรมส่งเสริมการเกษตร (DoAE) เชิญชวนเกษตรกร นักศึกษา นักพัฒนา นักประดิษฐ์ วิศวกรและนวัตกร ร่วมพลิกโฉมการเกษตรของประเทศไทยผ่านการนำเสนอไอเดียหรือนวัตกรรมทางการเกษตร เพื่อช่วยลดปัญหาการเผาบนพื้นที่สูง  

AgriSpark Hackathon – Hack the Hills 2025 คือการแข่งขันแฮคคาธอนด้านนวัตกรรมการเกษตร  เพื่อมุ่งเน้นหาแนวทางในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรบนพื้นที่ลาดชัน บนเขาสูงทางภาคเหนือของประเทศไทยเพื่อลดปัญหาการเผาที่ทำลายหน้าดิน ทำให้เกิดอนุภาค PM 2.5 ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และส่งผลทำให้สถานการณ์โลกร้อน ภูมิอากาศแปรปรวน ทวีความรุนแรงขึ้น   

งาน AgriSpark Hackathon – Hack the Hills 2025 ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม Hack the Hills! โดยมีโจทย์ที่ท้าทาย 2 หัวข้อ ให้ผู้เข้าแข่งขันได้ลองคิดสร้างสรรค์แนวทางแก้ไขปัญหา และพัฒนานวัตกรรม เพื่อร่วมชิงรางวัลชนะเลิศมูลค่า 20,000  ได้แก่

หัวข้อที่ 1 – From Hill to Road นำเสนอโจทย์โดย Enable Earth  

เมื่อการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่สูงยังคงมีอยู่ และการเผาในทุกปีนั้นเกิดจากความพยายามทำลายวัสดุเหลือใช้ที่ถูกมองว่าไม่มีประโยชน์อย่าง ต้น ใบและซัง Enable Earth จึงค้นพบวิธีที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ด้วยการนำไปเผาเป็นถ่านไบโอชาร์ (biochar) เพื่อใช้ประโยชน์ในหลาย  ด้านเมื่อเศษเหล่านี้มีทั้งมูลค่าและคุณค่าที่เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เกษตรกรมีทางเลือกในการจัดการกับวัสดุเหลือใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวมากขึ้นประเด็นก็คือ  “เราจะสามารถนำวัสดุเหลือใช้ของข้าวโพดที่อยู่บนพื้นที่ลาดชันลงมาสู่ถนนที่รถสามารถเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าได้อย่างไร โดยที่ต้องไม่ทำลายหน้าดิน” 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://enableearth.eco/#agrispark 

หัวข้อที่ 2 – Burn No More นำเสนอโจทย์โดย German-Thai Agricultural Cooperation (โครงการจีแทค)  

โครงการจีแทคมีการทำโครงการกับพืชหลักหลายชนิดและในหลายพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือพืชข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่สูง โดยมีความพยายามในการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างกาแฟ ซึ่งการปรับเปลี่ยนในลักษณะจะต้องใช้เวลาที่นาน กว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนได้ทั้งหมด ดังนั้น สำหรับในพื้นที่สูงที่ยังมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดอยู่นั้น “จะมีวิธีใดบ้างที่สามารถช่วยย่อยหรือจัดการกับวัสดุเหลือใช้บนพื้นที่ลาดชันบนภูเขาหรือพื้นที่ห่างไกลได้โดยตรงในแปลง เพื่อลดปัญหาการเผา” 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.gethac.com/hackathon 

สำหรับผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย Finalists จะได้นำเสนอผลงานแบบ pitching ตัวต่อตัว ทีมต่อทีม ต่อหน้าคณะกรรมการ และผู้ร่วมงานทั้งจากประเทศไทยและหลายภูมิภาคทั่วโลก ในงาน AGRIFUTURE Conference 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 กันยายน 2568   True Digital Park กรุงเทพฯ 

ร่วมนำเสนอไอเดีย และส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2568 ได้ที่https://forms.gle/mRiJ3sAbkoeKpUaM9 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์AgriSpark https://www.agrispark.net    

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สมาคมนิสิตเก่าเกษตร สาขาขอนแก่น ” มอบเงินส่วนหนึ่งจากการจัดคอนเสิร์ตการกุศล สมทบสร้างโรงพยาบาลเกษตรศาสตร์

ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รับมอบเงินจำนวน 225,000 บาท จากสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาขอนแก่น นำโดย รศ.ดร.เพ็ญศรี เจริญวานิช นายกสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาขอนแก่น และ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและนวัตวณิชย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมด้วยคณะกรรมการ ฯ  ทั้งนี้ เพื่อนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดคอนเสิร์ตการกุศลจำนวนดังกล่าว สมทบการก่อสร้างคณะแพทยศาสตร์และโรงพยาบาลเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องอธิการบดี อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ดำเนินการโครงการอุทยานการแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยเน้นอัตลักษณ์เวชศาสตร์การเกษตรและชีวนวัตกรรม (Agro-medicine and Bio-innovation) ที่เชื่อมโยงความรู้ขั้นสูงด้านการเกษตร อาหาร ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม ไปสู่การแพทย์ เป็นแห่งแรกของประเทศไทยและเอเชีย เพื่อเป็นศูนย์กลางการให้บริการทางการแพทย์ รองรับสังคมผู้สูงอายุและการเกิดโรคอุบัติใหม่ รวมถึงการเป็น Medical Hub สำหรับดูแลผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติและรองรับการฝึกภาคปฏิบัติของนิสิต 

          การดำเนินการในระยะที่ 1 (ปี พ.ศ.2567 ถึง พ.ศ. 2572) มหาวิทยาลัยจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ และคณะพยาบาลศาสตร์ รวมทั้งก่อสร้างโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขั้นที่ 1 ขนาด 100 เตียงและขยายโรงพยาบาลเกษตรศาสตร์ ขั้นที่ 2 ขนาด 300 เตียง รวม 400 เตียง รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานโครงการในระยะที่ 1 ทั้งหมด จำนวน 8,863.9 ล้านบาท และคาดว่าจะต้องจัดหางบประมาณมาสนับสนุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท

          สำหรับในระยะต่อไปจะดำเนินการก่อตั้งคณะเภสัชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยขณะนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาได้มีส่วนร่วมในการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์และสร้างโรงพยาบาลเกษตรศาสตร์ โดยสามารถนำเงินบริจาคไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า  และร่วมบริจาคได้ 2 ช่องทาง ดังนี้ 

          1. ผ่านเว็บ Donation punboon https://www.punboon.org/foundation/01162

          2. ผ่านบัญชี ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 069-2-77187-6 ชื่อบัญชีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

          ติดตามเพจคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก้าวสำคัญในการรับใช้สังคมและประเทศชาติของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในทศวรรษที่ 9

ได้ที่ https://www.facebook.com/profile.php?id=100086218923974    



วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กลุ่มบริษัท เอสเอ็มเอส ภายใต้กลุ่มพลูผล จัดงาน “วันสมาชิกชาวไร่” ครั้งที่ 32 เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เติบโตอย่างยั่งยืน

 


  กลุ่มบริษัท เอสเอ็มเอส ภายใต้กลุ่มพลูผล จัดงาน “วันสมาชิกชาวไร่” ครั้งที่ 32 ประจำปี 2568/2569 สานต่อการช่วยเหลือและสนับสนุนสมาชิกชาวไร่มันสำปะหลัง ตอกย้ำการเป็นหุ้นส่วนสำคัญ ร่วมสร้างการเติบโตทางธุรกิจให้สมาชิก พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างยั่งยืน

 กลุ่มบริษัท เอสเอ็มเอส จัดงาน “วันสมาชิกชาวไร่” ครั้งที่ 32 ประจำปี 2568/2569 โดยได้รับเกียรติ จากนางสาวกังสดาล ชาตกุล เกษตรจังหวัดชัยภูมิ เป็นประธานเปิดงาน โดยมี ศ. ดร.เจริญศักดิ์ โรจนฤทธิ์พิเชษฐ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการสภา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้แนวคิดและความรู้สถานการณ์การปลูกมันสำปะหลังในปัจจุบัน และแนวทางการลดต้นทุนในการปลูกมันสำปะหลัง และ รศ. ดร. วิจารณ์วิชชุกิจ ประธานคณะกรรมการอำนวยการสถาบันพัฒนามันสำปะหลัง ให้แนวคิดและความรู้สถานการณ์การปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ต้านทานโรคใบด่าง ร่วมด้วยนางสาวกังสดาล ชาตกุล เกษตรจังหวัดชัยภูมิ ร่วมบรรยายถึงสถานการณ์การปลูกมันสำปะหลังในจังหวัดชัยภูมิ และแนวทางลดต้นทุนการปลูกมันสำปะหลัง ณ บริษัท สยาม ควอลิตี้ สตาร์ช จำกัด เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 

 ดร. วีรวัฒน์ เลิศวนวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอ็มเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดงาน “วันสมาชิกชาวไร่ปีที่ 32” ประจำปี 2567/2568 ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังสานต่ออาชีพการเป็นเกษตรกรอย่างมั่นคง ภายใต้แนวคิด “เพื่อนคู่คิด สมาชิกชาวไร่” ผ่านรูปแบบ “ระบบสมาชิกชาวไร่” เพื่อช่วยเหลือ “เกษตรกร” ซึ่งเปรียบเสมือนหุ้นส่วนที่สำคัญของบริษัท โดยแต่ละปีบริษัทฯ มีการรับซื้อผลิตผลหัวมันสำปะหลัง จากเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังมากกว่า 5,000 ครอบครัว นอกจากนี้ ในแต่ละปียังได้จัดทำโครงการและกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในด้านต่างๆ ทั้งการเพิ่มผลผลผลิต การช่วยเหลือต้นทุนเพาะปลูก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างยั่งยืน 

 “บริษัทฯ มุ่งส่งเสริมการทำเกษตรอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกร เพื่อฟื้นฟูดิน เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนการปลูก และประชาสัมพันธ์การส่งเสริมการปลูกมันสำปะหลังพันธ์ต้านทานโรคใบด่าง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ชัยภูมิและพื้นที่ใกล้เคียง มีความมั่นคงในด้านรายได้ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน” ดร. วีรวัฒน์ กล่าว

 ตลอดงานยังมีกิจกรรมหลากหลาย ประกอบด้วย การประกวดมันสำปะหลัง, การมอบรางวัลให้แก่สมาชิกชาวไร่ดีเด่น และมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการประกวด มันสำปะหลัง “เปอร์เซ็นต์แป้งดี ราคาดี” โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้ทำการพัฒนา Application เพื่อตอบสนองการใช้งานของเกษตรกร มีความทันสมัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของเกษตรกรในปัจจุบัน ผ่าน Application FMS (Farmer Member Survey) โดยเกษตรกรสามารถดูคะแนนสะสมจากการขายหัวมันสำปะหลัง จอง แลกของรางวัล และการจองคิวเพื่อขายมันสำปะหลัง สามารถบันทึกข้อมูลเพาะปลูก และบันทึก ต้นทุนการเพาะปลูกผ่านแอปฯ  นี้ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อาทิ การจับรางวัลให้กับเกษตรกรและสมาชิกชาวไร่ผู้โชคดี, การจัดแสดงพันธ์ต้านทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง พร้อมแจกท่อนพันธ์ต้านทานโรคใบด่างให้กับเกษตรกรผู้เข้าร่วมงาน, การจัดแสดงโครงการสนับสนุนสมาชิกชาวไร่ โครงการส่งเสริมจัดอบรมเรื่องการเพิ่มผลผลิตให้กับสมาชิกชาวไร่ และการจัดแสดงเครื่องจักรทางการเกษตร เป็นต้น 

กลุ่มบริษัท เอสเอ็มเอส หนึ่งในภายใต้กลุ่มพูลผล เป็นผู้นำในการผลิตแป้งมันสำปะหลังดัดแปรคุณภาพสูงของประเทศไทย ซึ่งตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป็นผู้ริเริ่มนำสำปะหลังซึ่งเป็นสินค้าสำคัญทางการเกษตรมาเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย จนก่อเกิดเป็นแป้งมันสำปะหลังดัดแปรคุณภาพสูงโดยได้รับมาตรฐานระดับสากล ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหาร ยา กระดาษ สิ่งทอ กาว อาคารและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงพลาสติกชีวภาพ โดยมีโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังดัดแปรอยู่ทั้งหมด 3 แห่ง ที่จังหวัดปทุมธานี ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 400,000 ตันต่อปี    ส่งผลให้กลุ่มบริษัท เอสเอ็มเอส ครองตำแหน่งเป็นผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังดัดแปรของคนไทยรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม พร้อมทั้งมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพแป้งมันสำปะหลัง ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังไทย




วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568

เปิดแล้ววันแรกอย่างยิ่งใหญ่ มหกรรม “จากพันธุกรรม สู่ความยั่งยืน” เทิดพระเกียรติกรมสมเด็จรัตนราชสุดาฯ70 พรรษา

รมช.อิทธิเปิดงาน “จากพันธุกรรม สู่ความยั่งยืน” วันแรกอย่างยิ่งใหญ่   เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568  พร้อมเปิดบ้านจัดแสดงผลงานสนองพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์พันธุกรรมท้องถิ่นไทย  จัดอบรมวิชาของแผ่นดินฟรี 12 หลักสูตรและเปิดให้เข้าชมฟรี 4-6 เมย.68 นี้  

วันนี้ (4 เม.ย. 2568) ที่พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี   นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “จากพันธุกรรม สู่ความยั่งยืน” “เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568 โดยมีหน่วยงานภาคีความร่วมมือ ภาครัฐ ภาคเอกชนกว่า 17 แห่งนำผลงานด้านสนองพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรไทยมาจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ 


นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่า   ทรัพยากรไทยถือเป็นมรดกทางธรรมชาติที่เป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ที่ผ่านมาสถาบันพระมหากษัตริย์จึงให้ความสำคัญกับการดูแล อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างยั่งยืน   เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของทรัพยากร ทั้งดิน น้ำป่า พันธุกรรมพืช สัตว์ ตลอดจนภูมิปัญญา วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่อยู่บนแผ่นดินไทย ผ่านกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการร่วมคิด ร่วมปฏิบัติ จัดทำระบบข้อมูลฐานทรัพยากร และเผยแพร่เป็นประโยชน์แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มุ่งเน้น การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน”

ทางด้านพันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวเพิ่มเติมว่า “ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ มีภารกิจในการเผยแพร่พระเกียรติคุณและพระอัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ไทย และพระบรมวงศานุวงศ์ด้านการเกษตร รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับงาน “จากพันธุกรรม สู่ความยั่งยืน” เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการอนุรักษ์ทรัพยากร และสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการพระดำริที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์ทรัพยากร รวมทั้งเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เจ้าฟ้านักอนุรักษ์ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568 ภายในงานประกอบด้วยนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ “70 พรรษา พระบารมีแห่งเจ้าฟ้านักพัฒนา” 

ด้านการอนุรักษ์พันธุกรรมและด้านการส่งเสริมโภชนาการ นิทรรศการเครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ เกี่ยวกับการอนุรักษ์พันธุกรรมพื้นบ้านตามพระราชดำริ ในหัวข้อ “พันธุกรรม มรดกชีวิต มรดกแผ่นดิน” นิทรรศการ “สนองพระราชปณิธาน เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรไทยสืบไป” จากหน่วยงานภาคีความร่วมมือ ภาครัฐ ภาคเอกชน ที่ดำเนินงานสนองพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรไทย 17 หน่วยงาน และนิทรรศการพิเศษ Wisdom Craft Coffee จากกาแฟไม่กี่ต้นบนยอดดอยสูง ขยายผลสู่ภาคพื้นยกระดับชีวิตราษฎร ภายในงานยังมีการอบรมวิชาของแผ่นดิน และอบรมเชิงปฏิบัติการ ฟรี 12 หลักสูตร จากวิทยากรมากประสบการณ์เพื่อสร้างอาชีพให้กับประชาชน เกษตรกร ได้นำไปประยุกต์ให้สอดคล้องกับภูมิสังคมเพื่อพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน”

นอกจากนี้  ภายในงาน ยังมีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับครอบครัวและเยาวชน อาทิ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในหลวงรักเรา พิพิธภัณฑ์มหัศจรรย์พันธุกรรม การเปิดตัวนิทรรศการ "Echoes of Life เสียงแห่งทรัพยากร" ซึ่งใช้เทคโนโลยี Projection Mapping เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่แปลกใหม่ ตลอดจน Immersive Art ที่นำเสนอความงดงามของพรรณไม้ในพระนามาภิไธยและสัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์ และพิพิธภัณฑ์ป่าดงพงไพร       โดยเปิดให้เข้าชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการจัดงาน กิจกรรมเพาะแจก แลก เปลี่ยน ส่งต่อพันธุกรรมให้กับทุกคน พิเศษ สำหรับใครที่มาเที่ยวงาน รับฟรีเมล็ดพันธุ์ถั่วมะแฮะ ห้ามพลาดชม ชิม ช็อป ของกินปลอดภัย ของใช้นานาชนิด ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นคุณภาพดี จากเครือข่ายและภาคีความร่วมมือจากทั่วประเทศกว่า 200 ร้านค้า และสุดพิเศษสำหรับท่านที่ช็อปเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายในโซนร้านกาแฟทั้ง 20 ร้าน ครบ 200 บาท รับของที่ระลึกพิเศษ “แก้วน้องดู้สุด cute” 

งานมหกรรม “จากพันธุกรรม สู่ความยั่งยืน” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 6 เมษายน 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ จ.ปทุมธานี  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 02-529-2212-13, 087-359-7171 คลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.wisdomking.or.th หรือ Facebook @wisdomkingmuseum และ YouTube พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2568

ชวนเที่ยวตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาลโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ (D-HOPE)

 

วันที่ 23 มีนาคม 2568 ณ ตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล หมู่ที่ 4 ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี โดยนายยุทธนา โพธิวิหค ปลัดจังหวัดสระบุรี ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีนายชินนาอาชว์  รสิอัครศักดิ์ นายอำเภอเสาไห้ กล่าวรายงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน กิจกรรมย่อย จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ (D-HOPE)ประจำปีงบประมาณ 2568

นายยุทธนา โพธิวิหค ปลัดจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า การส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความมั่นคง ถือเป็นภารกิจหลัก ของประเทศ รัฐบาลจึงขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เพื่อไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง โดย “โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน กิจกรรมย่อย จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ (D-HOPE)” เป็นโครงการที่มุ่งให้ เกิดการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวด้วยแนวคิดการจัดนิทรรศการส่งเสริมการเรียนรู้ที่ นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ หรือ D-HOPE โดยมุ่งสนับสนุนการขับเคลื่อนกิจกรรมโครงการ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ตามกรอบความคิดของ D-HOPE ซึ่งเป็นการนำเสนอกิจกรรมในท้องถิ่นที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ผ่านโครงการที่ผู้เข้าร่วมสามารถลงมือปฏิบัติได้ เองที่จัดดำเนินการโดย Champ ประจำชุมชนซึ่งเกิดจากการรังสรรค์ประโยชน์จาก ทรัพยากรในท้องถิ่น อันประกอบด้วยภูมิปัญญา ความรู้ ความสามารถ และทักษะ ณ สถานที่ ที่ผู้ประกอบการชุมชนสามารถกำหนดเองต่อสาธารณะชนอย่างเป็นรูปธรรม

ด้านนายชินนาอาชว์ รสิอัครศักดิ์ นายอำเภอเสาไห้ กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน กิจกรรมย่อย จัดกิจกรรมส่งเสริม การเรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ หรือ D-Hope เป็นโครงการที่กรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ JICA เพื่อยกระดับ ขีดความสามารถผู้ประกอบการชุมชนในการ เรียนรู้ ริเริ่ม สร้างสรรค์ และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ในพื้นที่มีอยู่ในพื้นที่เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวในรูปแบบของนิทรรศการชุมชนที่ นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้หรือมีประสบการณ์จากการลงมือทำเองด้วยตนเอง

ตามที่กล่าวมานี้ อำเภอเสาไห้จึงได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ เพื่อต่อยอดความสำเร็จของการพัฒนานิทรรศการโปรแกรมการ ท่องเที่ยวของบ้านต้นตาล หมู่ที่ ๔ ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี

โดยการดำเนินงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการ เรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติในการส่งเสริมท่องเที่ยวโดยชุมชน และเพื่อประชาสัมพันธ์ ผู้ประกอบการชุมชนและชุมชนท่องเที่ยวเป้าหมายให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวและบุคคล ทั่วไป

นางสาววรัชยา หมวกลาว กำนันตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ กล่าว่า อำเภอเสาไห้ ได้รับจัดสรรงบประมาณ จากกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินกิจกรรมตามแผนปฏิบัติงานและ แผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยชุมชน กิจกรรมย่อย จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ (D-HOPE) เพื่อส่งเสริมศักยภาพของชุมชนให้เกิดกิจกรรมที่รองรับการเข้ามาใช้บริการของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับเสน่ห์ของชุมชน และหนุนเสริมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ สนับสนุนให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้ประชาชน ได้อย่างยั่งยืน ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy) ให้เกิดความเข้มแข็ง โดยการใช้ความหลากหลายของอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการท่องเที่ยวโดย ชุมชน

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการชุมชน หรือ Champ จำนวนทั้งสิ้น 10 โปรแกรม ระยะเวลา 3 วัน โดยกิจกรรมการเยี่ยมชมโปรแกรมของผู้ประกอบการ ดังนี้ 1. ผ้าตุ๊บลาย 2. ย่ามจิ๋ว 3.โคมเลิศลอย 4. ผัดหมี่ ไท-ยวน 5. ขนมเพ้อเร่อ 6. ไข่เค็มใบเตย 7. พวงมโหตร 8. ปิ่นส้อมดอกตอ 9. ผ้าเช็ดหน้า ๒ ตะกอ 10. ข้าวแคบ

ทั้งนี้ ตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล หมู่ที่ 4 ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์พื้นเมือง ตามรอยกลิ่นอายของไท-ยวน ทุกวันอาทิตย์ 









เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่มหกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ สืบสานงานพ่อ พัฒนาส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน

  “พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ สานต่อพระราชปณิธานด้านเกษตร”  เปิดมหกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ‘สืบสานงานพ่อ พัฒนา ส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน’ อย่างยิ่งใหญ่  วั...