วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2568

สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป หนุนกำลังพลชายแดน มอบผลิตภัณฑ์อาหารจาก 10 บริษัทสมาชิก

 


เชียงใหม่, 12 กันยายน 2568 – สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป (TFTA) นำโดย นายองอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย คุณธิดารัตน์ พลเยี่ยม ผู้แทนจากบริษัท ลำปางฟู้ดโปรดักส์ จำกัด และคณะกรรมการสมาคมฯ ได้ร่วมส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและอาหารกึ่งสำเร็จรูป ให้แก่ กรมทหารราบที่ 7 ค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนภารกิจของกำลังพลในพื้นที่ชายแดน

การสนับสนุนครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กรมทหารราบที่ 7 ได้จัดส่งกำลังพลไปปฏิบัติภารกิจร่วมกับ กองทัพภาคที่ 2 บริเวณ ภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาที่มีความสำคัญด้านความมั่นคงของประเทศ

🤝 ความร่วมมือครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทสมาชิกสมาคมฯ รวม 10 บริษัท ได้แก่ บริษัท ลำปางฟู้ดโปรดักส์ จำกัด, บริษัท มาเจสติคอุตสาหกรรมอาหาร จำกัด, บริษัท โชติวัฒน์อุตสาหกรรมการผลิต จำกัด (มหาชน), บริษัท อินทัชธนกร จำกัด, บริษัท ริเวอร์แคว อินเตอร์เนชั่นแนล อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด, บริษัท แคปปิตอล ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท โกลเด้นไพร้ซ์ แคนนิ่ง จำกัด, บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารเชฟช้อย จำกัด, บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน)

การที่บริษัทสมาชิกต่างสละเวลาและร่วมแรงร่วมใจกันในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงพลังความร่วมมือของภาคเอกชนไทยในการสนับสนุนกำลังพล แต่ยังเป็นการส่งต่อ “พลังอาหาร” และ “พลังใจ” ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน

นายองอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การมอบผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้เป็นมากกว่าการส่งต่ออาหาร แต่คือการส่งต่อกำลังใจจากภาคธุรกิจอาหารไปยังทหารกล้าที่เสียสละเพื่อความสงบและความมั่นคงของประเทศ สมาคมฯ และสมาชิกทุกบริษัทภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนครั้งนี้”

ทั้งนี้ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปยืนยันว่าจะเดินหน้ากิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) อย่างต่อเนื่อง เพื่อสะท้อนบทบาทของอุตสาหกรรมอาหารไทยที่ไม่เพียงสร้างรายได้ให้แก่เศรษฐกิจ แต่ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความสมานฉันท์ให้กับสังคมไทย

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568

เปิดโลกงานวิจัยจริง นวัตกรรมจริง เพื่อเกษตรกรไทย ARDA แถลงข่าว จัดงาน ARDA AGRINEXT THAILAND 2025 เริ่ม 25 – 28 กันยายน นี้

 


เตรียมพบ !! นวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี  ในงาน ARDA AGRINEXT THAILAND 2025   เปิดโลกนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ กว่า 40 ผลงานจริง ระหว่างวันที่ 25 – 28 กันยายน 2568 ณ Hall 5 – 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

วันที่ 5 กันยายน 2568 สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) – ARDA  แถลงข่าวการจัดงานประชุมวิชาการและแสดงผลงานวิจัย “ARDA AGRINEXT THAILAND 2025” โดยมี นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการแถลงข่าว พร้อมด้วย ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการ ARDA  ร่วมให้ข้อมูลการเตรียมความพร้อมการจัดงาน ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี

นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า งานวิจัยคือพลังสำคัญที่จะนำพาภาคการเกษตรไทยสู่ความยั่งยืนและการแข่งขันในระดับโลก ซึ่ง ARDA  มีผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ ทั้งเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ และเชิงพาณิชย์ พร้อมต่อยอดใช้งานได้จริง เป็นจำนวนมาก การจัดงาน ARDA AGRINEXT 2025 จึงเป็นเวทีสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่า งานวิจัยและนวัตกรรมสามารถเปลี่ยนเกษตรไทยให้ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ ไปสู่ระบบเกษตรที่มั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้

ด้าน ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการ ARDA กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ เป็นการถ่ายทอดความสำเร็จจากการทำงานของ ARDA ตลอด 22 ปี ที่สร้างเครือข่ายนักวิจัยและผู้ประกอบการ มุ่งผลักดันผลงานสู่การใช้ประโยชน์จริง โดยผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับ ผลงานวิจัยจริงและนวัตกรรมจริงมากกว่า 40 ผลงาน ครอบคลุมทั้งการเพิ่มผลผลิต ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร และการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจ 

โดยแบ่งพื้นที่นิทรรศการออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่

• ARDA Showcase – งานวิจัยคุณภาพที่ต่อยอดใช้จริง ช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตเกษตรกร

• Agri Tech – เทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตรสมัยใหม่ ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต

• Agri Next – นวัตกรรมเกษตรแห่งอนาคต อาทิ ระบบเตือนภัย หุ่นยนต์การเกษตร และแพลตฟอร์มดิจิทัล

• Agri Colorful – ผลิตภัณฑ์เกษตรสร้างมูลค่า ที่นำเสนอความหลากหลายและสีสันใหม่ของตลาดไทย

ทั้งนี้ ภายหลังการแถลงข่าว ผอ.ARDA  ยังได้นำชมตัวอย่างผลงานวิจัยบางส่วน ที่นำมาจัดแสดงล่วงหน้า เพื่อสะท้อนถึงความก้าวหน้าที่จับต้องได้ อาทิ 

• “โดรนขนส่งผัก–ผลไม้” ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตเกษตรกรพื้นที่สูง โดยโดรนรับน้ำหนักผักผลไม้ได้กว่า 100 กก.  ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง ผักใบสลัด 63 % และพืชผลทั่วไป 36 % ลดการช้ำ เสียหายระหว่างขนส่ง ได้ถึง 10% และ คุ้มทุนเมื่อบิน > 2,173 เที่ยวบิน/ปี  ราคาบริการเฉลี่ย ต่ำกว่า 250 บาท/เที่ยวบิน

• เทคโนโลยีเพาะหอยมุกน้ำจืด “ราชินีแห่งอัญมณี” ที่มีอัตรารอดสูงถึง 50% หรือประมาณ 30,000 ตัว/ระบบ ภายใน 4 เดือน สร้างรายได้แก่เกษตรกร/เอกชน ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท/ปี

• “ปุ๋ยเสื้อเกราะ” ที่ใช้เศษวัสดุชีวภาพเคลือบเม็ดปุ๋ยเคมี ช่วยเพิ่มสารอาหารให้พืชได้มากขึ้นถึงร้อยละ 30  ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 และลดต้นทุนการผลิตลงได้กว่าร้อยละ 30 – 40 %  

• โคเนื้อพันธุ์ไทยแบล็คกรมปศุสัตว์ ที่โตเร็ว ขุนง่าย ช่วยลดการนำเข้าเนื้อพรีเมียม มีต้นทุนการเลี้ยง 74,200 บาทต่อตัว  ซึ่งหากจำหน่ายแล้ว จะสามารถได้กำไรประมาณ 55,400 บาท

นอกจากนี้ ภายในงานยังมี เวทีเสวนาวิชาการ ที่จะมาเปิดมุมมองการทำเกษตรเชิงวิชาการพร้อมไอเดียธุรกิจใหม่ เน้นการประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเวทีให้ร่วมแลกเปลี่ยนและสอบถามปัญหาการทำเกษตรกับผู้เชี่ยวชาญแบบใกล้ชิด ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ ประชาชนที่สนใจ รวมถึงเยาวชนที่อยากเห็นว่าเกษตรสมัยใหม่ทำได้จริง อาทิเช่น ในวันที่ 25 ก.ย.68 เวลา 14.15 – 15.00 น. พบกับ การเสวนาในหัวข้อ “Local to Global เส้นทางเกษตรจากบทเรียนสู่พื้นที่จริง” และในวันที่ 26 ก.ย.68 เวลา 11.30 -12.30 น. พบกับการเสวนาหัวข้อ “Agri-Next: เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนเกษตรไทยก้าวไปได้ไกลกว่าที่เคย” การจับคู่เจรจาธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการ นักลงทุน ระหว่างภาคเกษตร นักวิจัย และภาคอุตสาหกรรม เพื่อการทำข้อตกลงร่วมทุนหรือการซื้อขายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี คลินิกวิจัย ให้คำปรึกษาในการขอรับการสนับสนุนทุนวิจัย และนิทรรศการจากภาคีเครือข่าย

“อยากเชิญชวนผู้สนใจ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านการเกษตร รวมถึงอาจารย์ และนักวิชาการ ให้มาร่วมสัมผัสและเป็นส่วนหนึ่งในงานครั้งนี้  เพราะนี่คือเวทีที่เราจะได้เห็นว่า งานวิจัยไม่ใช่เพียงทฤษฎี แต่คือคำตอบจริงของการพัฒนาภาคการเกษตรไทย กว่า 40 ผลงานวิจัยคุณภาพที่นำมาจัดแสดง จะสะท้อนให้เห็นถึงพลังของนวัตกรรมที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรไทย แล้วเราจะได้เห็นไปพร้อมกันว่า งานวิจัยและนวัตกรรม จะเป็นพลังที่พลิกโฉมเกษตรไทยสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง” ผอ.ARDA  กล่าวเชิญชวน

สำหรับการจัดงานประชุมวิชาการและแสดงผลงานวิจัย   ” ARDA AGRINEXT THAILAND 2025 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด SMART – SUSTAINABLE – GLOBAL AGRICULTURE เนื่องในโอกาสครบรอบ 22 ปี ของการจัดตั้งสำนักงานฯ เพื่อเป็นเกียรติประวัติและความภาคภูมิใจของ ARDA  โดยร่วมกับงาน “TOYOTA FARM EXPO 2025” ซึ่งเป็นมหกรรมเกษตรในร่มที่ยิ่งใหญ่แห่งปี รวมทุกเทคโนโลยีล้ำสมัย เครื่องจักรอัจฉริยะ และนวัตกรรมเพื่ออนาคตเกษตรไทย 

ผู้สนใจเชิญลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://app.register.farmexpo.co.th

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568

DIT จัดงาน “Farm Outlet Fair” รวมสินค้าเกษตรสดใหม่ส่งตรงจากชุมชน

 


​DIT กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เชิญชวนประชาชนร่วมอุดหนุนสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ในงาน “Farm Outlet Fair” ที่จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรในเครือข่ายDIT นำผลผลิตและสินค้าคุณภาพตรงจากสวนและชุมชน มาจำหน่ายในราคาที่เป็นธรรม พร้อมสร้างทางเลือกใหม่ในการจับจ่ายของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านและครอบครัวที่ใส่ใจสุขภาพ

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดี DIT เปิดเผยว่า งานครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่กรมฯ จัดขึ้นร่วมกับภาคีเครือข่ายบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชนเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงผลผลิตเกษตรคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร ผลไม้ ผักสดปลอดสาร รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากวิสาหกิจชุมชนกว่า 500 รายการ จาก 30 ร้านค้า โดยเป็นสินค้าที่คัดสรรจากแหล่งผลิตที่มาจากศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน หรือ Farm Outlet ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป และงานหัตถกรรมของชุมชนที่ DIT ส่งเสริมพัฒนามากว่า 15 ปี ปัจจุบันมี 56 แห่ง ใน 34 จังหวัดทั่วประเทศ ที่สำคัญงานนี้ได้เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรผู้ปลูกผลไม้นำผลไม้มาจำหน่ายเองด้วย เช่น ลำไยสดเกรดพรีเมียมจากจันทบุรี เพียงตะกร้า 3 กกราคา 100 บาทมะพร้าวน้ำหอมจากราชบุรี ลูกละ 15 บาท ฝรั่งไส้แดงจากราชบุรี ส้มโอจากนครนายกและสมุทรสงครามและอโวคาโดจากเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมีกุ้ง ทั้งกุ้งสดแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูป จากเกษตรกร.สมุทรสาคร งานนี้ไม่เพียงเหมาะสำหรับคุณพ่อบ้านคุณแม่บ้านหรือผู้ที่รักการทำอาหาร แต่ยังเหมาะกับผู้ที่มองหาของฝาก ของดีประจำท้องถิ่น และผู้รักสุขภาพที่ต้องการเลือกสินค้าปลอดภัยมาบริโภคในชีวิตประจำวัน

งาน Farm Outlet Fair ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่จับจ่ายใช้สอย แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยตรง ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าสินค้าที่นำมาจำหน่ายเป็นผลผลิตที่ใส่ใจคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงมือผู้บริโภค อีกทั้งยังได้ราคาที่คุ้มค่าเพราะไม่มีพ่อค้าคนกลาง นอกจากนี้สอดรับกับ นโยบาย “ไทยทำ ไทยใช้ไทยช่วยไทย” ของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคสินค้าไทยและส่งเสริมให้ประชาชนเลือกใช้สินค้าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการชุมชน เพื่อช่วยสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก” นายวิทยากร กล่าว

อธิบดี กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดหวังว่างาน Farm Outlet Fair จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยสร้างการรับรู้ถึงคุณภาพของสินค้าเกษตรไทย และช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดแก่เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงการผลิตสู่การบริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ งาน Farm Outlet Fair จัดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ เซ็นทรัลเวสต์เกต ชั้น 1 ระหว่างวันที่ 3 – 9 กันยายน 2568 และต่อด้วยที่ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น G ระหว่างวันที่ 13 – 17 กันยายน 2568 เปิดให้เข้าชมและเลือกซื้อสินค้าตั้งแต่เวลา 10.00–21.00 ของทุกวัน

นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้ายว่า “อยากเชิญชวนประชาชนทุกท่าน โดยเฉพาะแม่บ้านและครอบครัว มาร่วมเลือกซื้อสินค้าคุณภาพดีในงาน Farm Outlet Fair ได้ทั้งของดีไปใช้ในครัวเรือน และยังได้มีส่วนร่วมช่วยเกษตรกรไทยให้มีกำลังใจในการผลิตสินค้าคุณภาพดีต่อไป
















วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2568

ศูนย์ฯคุ้งกระเบนหนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงสาหร่ายทะเลพัฒนาการแปรรูปมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดสุขภาพชูจุดเด่น Superfood สร้างผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบโจทย์ตลาดทุกกลุ่มวัย

 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ .จันทบุรี ผลักดันเกษตรกรผู้เลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลให้แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ชูจุดเด่น Superfood เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ และผู้บริโภคทุกกลุ่มวัย มั่นใจตลาดยังเปิดกว้าง สามารถสร้างรายได้หลักให้เกษตรกรและธุรกิจต่อยอด

กัญญารัตน์ สุนทรา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดจันทบุรี  เปิดเผยถึงจุดเด่นของสาหร่ายผักกาดทะเลที่สามารถพัฒนาการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสาหร่ายผักกาดทะเลเป็นสาหร่ายทะเลสีเขียวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง คือมีโปรตีนสูงถึง 25-30 กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม และยังอุดมไปด้วยวิตามิน กรดอะมิโนและกรดไขมันจำเป็นหลายชนิด รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ และยังมีไขมันต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการดูแลสุขภาพ และยังสามารถนำมาปรุงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายทั้งคาว หวาน และเครื่องดื่มเช่น บะหมี่สาหร่ายผักกาดทะเล พาสต้าสาหร่ายผักกาดทะเล น้ำสาหร่ายผักกาดทะเล  สาหร่ายผักกาดทะเลทอด ต้มจืดสาหร่ายผักกาดทะเล ขนมจีบกุ้งสาหร่ายผักกาดทะเล กุ้งดองซีอิ๊วห่อสาหร่ายผักกาดทะเล ปอเปี๊ยะสาหร่ายผักกาดทะเล ถุงทองสาหร่ายผักกาดทะเล รวมถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย เช่น เซรั่มสาหร่ายผักกาดทะเล สบู่ผสมสาหร่ายผักกาดทะเล กัมมี่สาหร่ายผักกาดทะเล ผงไฟเบอร์ และคอลลาเจนผักผสมสาหร่ายผักกาดทะเล เป็นต้น

สาหร่ายผักกาดทะเลมีศักยภาพสูงในการแปรรูป ซึ่งที่ศูนย์ฯ คุ้งกระเบนเรามีการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรที่สนใจแบบครบวงจรทั้งการเพาะเลี้ยง การแปรรูปและส่งเสริมช่องทางการตลาด ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) โดยทางศูนย์ฯ คุ้งกระเบนจะมีเจ้าหน้าที่ลงไปในพื้นที่เพื่อคอยให้คำแนะนำและส่งเสริมการขยายผล โดยตอนนี้เรามีกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายอยู่ 6 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีความเข้มแข็งที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยง การแปรรูป หรือการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ไปจนถึงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเช่นที่วิสาหกิจชุมชนจันทราบุรี@แหลมสิงห์ วิสาหกิจชุมชนธนาคารบ้านปลาธนาคารปู และกลุ่มแม่บ้านแปรรูปหอยนางรม เป็นต้น

ด้าน อัญชลี คมปฏิภาณ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประมงผู้รับผิดชอบโครงการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล ประจำศูนย์ฯ คุ้งกระเบน กล่าวย้ำว่า สาหร่ายผักกาดทะเลเป็น “superfood” ที่สามารถแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าได้หลากหลาย ทั้งอาหาร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยทางศูนย์ฯ คุ้งกระเบน พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ให้อย่างครบวงจร โดยนอกจากการเลี้ยง เกษตรกรจะต้องสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เบื้องต้นได้ เช่น สาหร่ายผักกาดทะเลอบแห้ง และเครื่องดื่มน้ำสาหร่ายผักกาดทะเล โดยเฉพาะสาหร่ายอบแห้งนั้นถือเป็นวัตถุดิบสำคัญที่จะนำไปใช้ในการต่อยอดแปรรูปขั้นสูงต่อไป  

สาหร่ายทะเลสด 1 กิโลกรัมตอนนี้ราคาอยู่ที่ประมาณ 500 บาท แต่ถ้านำมาอบแห้งซึ่งสาหร่ายสด 10 กิโลกรัม จะได้สาหร่ายอบแห้ง 1 กิโลกรัม ราคาก็จะสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 5,000 บาท โดยใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงสั้นเพียง 21 วัน ซึ่งเกษตรกรสามารถจะเลี้ยงแล้วแปรรูปเบื้องต้น ส่งให้กับกลุ่มที่ถนัดด้านการแปรรูป ก็สามารถสร้างรายได้ที่ดีให้กับครอบครัวได้

ด้าน สุภิดา ลิ้นทอง ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจันทราบุรี@ปากน้ำแหลมสิงห์ ต้นแบบของเกษตรกรที่เลี้ยงและแปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเลจนประสบความสำเร็จ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ทำมูลค่าตลาดได้สูงถึงหลักล้านบาทต่อปี เล่าว่ากลุ่มมีการแปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเลเป็นสาหร่ายอบแห้ง และมีการพัฒนาต่อเนื่องจนมีผลิตภัณฑ์แปรรูปที่หลากหลายมากกว่า 10 รายการ เช่น สาหร่ายผักกาดทะเลตากแห้ง บะหมี่สาหร่ายผักกาดทะเล บะหมี่สาหร่ายผักกาดทะเลพร้อมผงปรุง 6 รสชาติ ผักม้วนสาหร่ายผักกาดทะเล พาสต้าสาหร่ายผักกาดทะเล เซรั่มบำรุงผิวหน้าผสมสารสกัดจากสาหร่ายผักกาดทะเล แชมพู ครีมนวดผม เจลอาบน้ำ โลชั่นบำรุงผิวกายผสมสารสกัดจากสาหร่ายผักกาดทะเล เป็นต้น ซึ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปนั้น กลุ่มฯ ได้มีการต่อยอดพัฒนาร่วมกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและสามารถตอบโจทย์ตลาดได้เป็นอย่างดี

ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสาหร่ายผักกาดทะเล สามารถสร้างรายได้ถึงหลักให้กับกลุ่ม ตอนนี้เราจึงมีการวางแผนตั้งเป้าพัฒนาการตลาด โดยในช่วง 3-5 ปีนี้ จะพัฒนาไปเพื่อสร้างรายได้ให้ถึง 8 หลักและในระยะยาว เราต้องการจะนำพาสินค้าจาก local ของเราไปสู่ global เพื่อจะช่วยสร้างรายได้ 9 หลัก ให้กับเราให้ได้โดยตอนนี้เรามีตลาดหลักเป็นกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาศึกษาดูงาน และการขายผ่านระบบออนไลน์

สนใจผลิตภัณฑ์แปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเล มีวางจำหน่ายที่อาคารสิริพัฒนภัณฑ์ ด้านหน้าศูนย์ฯ คุ้งกระเบน ร้านฟิชเชอร์แมนชอป ร้านภัทรพัฒน์ และสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือหาต้องการศึกษาดูงานการเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โทร. 0-3943-3217

ศูนย์ฯ คุ้งกระเบน หนุนเกษตรกรแตกไลน์แปรรูป “น้ำพริกสาหร่ายผักกาดทะเล” ยกระดับสินค้า เพิ่มมูลค่า เข้าถึงผู้บริโภคง่าย ได้มาตรฐาน อย.

 


ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.จันทบุรี สนับสนุนเกษตรกรแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสาหร่ายผักกาดทะเล ดันเกษตรกรกลุ่มหอยนางรมครบวงจรคุ้งกระเบนเพาะเลี้ยงและแปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเล แตกไลน์สินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายเป็นน้ำพริกสาหร่ายผักกาดทะเล และยกระดับการผลิตได้มาตรฐาน อย. พร้อมเปิดตลาดออนไลน์จำหน่ายทั่วประเทศ

อัญชลี คมปฏิภาณ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประมง ผู้รับผิดชอบโครงการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล ประจำศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เปิดเผยถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรกลุ่มหอยนางรมครบวงจรคุ้งกระเบนได้เพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล ว่าเริ่มต้นมาจากช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้กลุ่มหอยนางรมฯ ต้องประสบปัญหาการตลาด ทำให้ต้องมองหาอาชีพสร้างรายได้ใหม่ ๆ จนได้เข้ามาอบรมและรับถ่ายทอดความรู้เรื่องการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลจากศูนย์ฯ คุ้งกระเบน เมื่อนำไปทดลองเลี้ยงก็ประสบความสำเร็จ ต่อมาจึงมีการขยายการเลี้ยงและมีการแปรรูปเบื้องต้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นสาหร่ายผักกาดทะเลอบแห้งและเครื่องดื่มน้ำสาหร่ายผักกาดทะเล ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร(สวก.)

“กลุ่มนี้มีจุดแข็งคือแต่เดิมที่ทำการเลี้ยงและแปรรูปหอยนางรมอยู่แล้ว เขามีสถานที่ผลิตที่ได้มาตรฐาน อย. และมีองค์ความรู้เรื่องการแปรรูปอยู่แล้ว เมื่อมาเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล จึงสามารถพัฒนาด้านการแปรรูปให้ได้มาตรฐาน อย. ได้ไม่ยาก”


ด้าน รัชดาภา จำปาศรี ประธานกลุ่มหอยนางรมครบวงจรคุ้งกระเบนกล่าวถึงการเลี้ยงและแปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเล ว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้และพลิกฟื้นฐานะให้กับครอบครัวและสมาชิก โดยกลุ่มมีความพร้อมในด้านสถานที่แปรรูปทำให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสาหร่ายผักกาดทะเลอบแห้ง หมี่กรอบสาหร่ายผักกาดทะเล ข้าวเกรียบสาหร่ายผักกาดทะเล น้ำพริกสาหร่ายผักกาดทะเล ขาไก่ผสมสาหร่ายผักกาด และน้ำสาหร่ายผักกาดทะเล

“ตอนแรกกลุ่มเราแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหอยนางรม ตัวแรกที่ได้ อย.คือ ข้าวเกรียบหอยนางรม พอได้ อย. ก็ได้ขยายขอบเขตการส่งจำหน่ายสินค้าออกไปมากขึ้น แต่พอมาเจอช่วงโควิดก็ทำให้ต้องหยุดการผลิตทุกอย่าง พอดีทางศูนย์ฯ คุ้งกระเบนมีการเปิดอบรมเรื่องการเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเล เราก็เข้าไปอบรม พอมาทำสาหร่ายผักกาดทะเลก็ทำให้กลุ่มพลิกฟื้นกลับมามีรายได้เพิ่มขึ้น จึงมีการขยายการเลี้ยง และยังรับซื้อสาหร่ายอบแห้งจากเครือข่ายเข้ามาแปรรูปด้วย”

หนึ่งในผลิตภัณฑ์แปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเลที่ทางกลุ่มหอยนางรมครบวงจรคุ้งกระเบนได้พัฒนาขึ้นก็คือ “น้ำพริกสาหร่ายผักกาดทะเล” โดยพัฒนาสูตรมาจากสูตรน้ำพริกหอยนางรมที่กลุ่มเคยผลิตและได้รับความนิยม ซึ่งสูตรนี้มาจากงานวิจัยและได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ซึ่งวัตถุดิบพื้นฐานจะเป็นเครื่องปรุงน้ำพริกเผา ได้แก่ พริก หอม กระเทียม มะขาม น้ำปลา และสาหร่ายผักกาดทะเล 

น้ำพริกสาหร่ายผักกาดทะเลจะมีลักษณะคล้าย ๆ น้ำพริกเผา บรรจุในขวดแก้ว สามารถเก็บรักษาได้นาน 6 เดือน ซึ่งการพัฒนาการแปรรูปเป็นน้ำพริกนั้นถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย เพราะคนไทยรู้จักน้ำพริกอยู่แล้ว และสาหร่ายผักกาดทะเลก็เป็น superfood ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง จึงช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปได้เป็นอย่างดี

การผลิตน้ำพริกสาหร่ายผักกาดทะเล และผลิตภัณฑ์แปรรูปของเราได้มาตรฐาน อย. ตอนนี้ตลาดมีการตอบรับค่อนข้างดี ผลิตภัณฑ์แปรรูปมีวางจำหน่ายที่อาคารสิริพัฒนาภัณฑ์ ด้านหน้าศูนย์ ฯ คุ้งกระเบน ร้านภัทรพัฒน์ และขายในช่องทางออนไลน์ผ่านเพจ Home Seaweed ต้องบอกว่าผลผลิตสาหร่ายผักกาดทะเลตอนนี้มีไม่พอแปรรูป ตลาดยังมีความต้องการมาก ตอนนี้เราก็มีการขยายการเลี้ยงเพิ่ม และเชื่อว่าตลาดยังไปได้อีกไกล

ปัจจุบันกลุ่มหอยนางรมครบวงจรคุ้งกระเบน ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีความโดดเด่นมากในด้านการเลี้ยงและแปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเลเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย และได้รับมาตรฐาน อย. โดยมีผลิตภัณฑ์แปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเลที่ผลิตและจำหน่ายอยู่ประมาณ 8 ชนิด และจะมีการพัฒนาไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ

ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเลได้ที่เพจ  Home Seaweed หรือ รัชดาภา จำปาศรี ประธานกลุ่มหอยนางรมครบวงจรคุ้งกระเบนโทร. 06-1329-4289 หรือสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเลี้ยงและการแปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเลได้ที่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โทร. 039 433 217

VICTAM Asia 2026 กลับมาเยือนกรุงเทพฯ อีกครั้ง !! งานแสดงอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ สุขภาพสัตว์ และเทคโนโลยีการสีข้าว

วันที่ 14 พฤศจิกายน : งาน VICTAM Asia 2026 ผนึกกำลัง VIV Health & Nutrition Asia และ GRAPAS Asia 2026 เตรียมกลับมาเปิดงานแสดงสินค้า...