วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เสมา 3 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายโรงเรียนการศึกษาเด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อน ชะอำ

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ลงพื้นที่โรงเรียนการศึกษาเด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อน ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอน พร้อมมอบนโยบายการจัดการศึกษา โดยมีนายธฤติ ประสานสอน รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน นายสมสันต์  ลือกำลัง ศึกษาธิการจังหวัดเพชรบุรี นายชวลิต จงเจริญชัยสกุล ประธานกรรมการดำเนินงานมูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาจังหวัดเพชรบุรี นายชนกภัทราณัฐ ข้าวหอม ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ เจ้าหน้าที่ บุคลากร และนักเรียน ให้การต้อนรับ




นางกนกวรรณ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาพิเศษของโรงเรียนเอกชนในระยะต่อไปนั้น ตนมีความตั้งใจในเรื่องของการให้องค์ความรู้ด้านการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนพิการแต่ละประเภท การส่งเสริมการสร้างงานและอาชีพให้กับนักเรียนพิการ การดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ การจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนพิการในโรงเรียนเรียนรวม การเพิ่มศักยภาพของบุคลากรและการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานของคณะทำงานเครือข่ายการศึกษาพิเศษของโรงเรียนเอกชนประจำจังหวัด เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะรับการมอบอำนาจจากศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด การทบทวนกฎระเบียบเกี่ยวกับการอุดหนุนโรงเรียนนักเรียนและครูให้เทียบเท่าโรงเรียนภาครัฐ รวมทั้งการสำรวจความต้องการสื่อการเรียนการสอนเฉพาะความพิการ และพิจารณาให้การอุดหนุนแก่โรงเรียนการศึกษาพิเศษ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนพิการแต่ละประเภท ต่อไป





แม็คโคร ผุดโมเดลเกษตรยั่งยืน หนุนผู้เลี้ยงวัวไทย ผลิตเนื้อพรีเมียม ชูจุดแข็งตลาดนำการผลิต ปรับระบบการเลี้ยง สร้างรายได้เพิ่มกว่า 2 หมื่นต่อตัว

          บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ผุดโมเดลเกษตรกรรมยั่งยืน ส่งเสริมผู้เลี้ยงโคเนื้อ ปรับวิธีเลี้ยงแบบขุน ปรับสูตรอาหารสัตว์และสภาพแวดล้อม รับความต้องการบริโภคเนื้อวัวพรีเมียมเติบโต ด้วยการเชื่อมโยงตลาดผ่านสาขาของแม็คโครสู่ผู้ประกอบการร้านอาหาร เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรมากกว่า 20,000 บาทต่อตัว พร้อมวางแผนการตลาดและพัฒนาร่วมกันอย่างต่อเนื่องภายใต้กลยุทธ์ การตลาดนำการผลิต 

นางศิริพร เดชสิงห์
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)


          นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า  ด้วยกระแสความนิยมบริโภคเนื้อวัวคุณภาพที่มีลายไขมันแทรก หลังจากธุรกิจร้านอาหารประเภทชาบู ปิ้งย่าง หมูกระทะ เติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้แม็คโครมองเห็นโอกาสในการพัฒนาเนื้อวัวของไทยให้เข้าสู่ตลาดพรีเมียม โดยทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนทั่วประเทศและกรมปศุสัตว์  ยกระดับการเลี้ยงขุนโดยให้ทานอาหารที่ปรับสูตรอย่างเหมาะสมและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ทำให้วัวมีไขมันแทรกในชั้นกล้ามเนื้อมาก ซึ่งเป็นไขมันดี มีรสชาติที่ดีเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค 


          “แม็คโครทำงานร่วมกับเกษตรกรและกรมปศุสัตว์ อย่างสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อไทยทั้งระบบ เพื่อให้เกิดรูปแบบการทำเกษตรกรรมยั่งยืน โดยแม็คโครได้นำความเชี่ยวชาญด้านการตลาด ความต้องการของผู้บริโภค ผู้ประกอบการร้านอาหาร มาพัฒนาสินค้าร่วมกันภายใต้แบรนด์ ‘โปรบุชเชอร์’ ซึ่งมีกระแสการตอบรับที่ดีและได้รับการบอกต่อในโลกโซเชียลถึงรสชาติ ความนุ่ม ทำให้เนื้อพรีเมียมของไทยมีสัดส่วนการขายและอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

นายวิบูลย์ ไวยสุระสิงห์
เจ้าของสุระสิงห์ฟาร์ม และประธานสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ จำกัด


          ด้าน นายวิบูลย์ ไวยสุระสิงห์ เจ้าของสุระสิงห์ฟาร์ม และประธานสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ จำกัด กล่าวว่า ทิศทางโคเนื้อโดยรวมยังสดใส และมีทิศทางที่ดี โดยเฉพาะการนำโคเนื้อลูกผสมสายพันธุ์ยุโรปมาเข้าสู่ระบบการเลี้ยงขุนเพื่อให้มีอัตราการเจริญเติบโตในระยะเวลาที่กำหนด ให้ได้คุณภาพเนื้อที่มีความนุ่ม มีไขมันแทรก เหมาะสำหรับทำสเต็ก อาหารเกาหลี อาหารญี่ปุ่น ซึ่งในกลุ่มนี้ ตลาดมีความต้องการประมาณปีละ 500,000 ตัว สำหรับที่ฟาร์มสุระสิงห์ จะซื้อวัวอายุปีกว่าๆ จากเกษตรกรมาขุนต่อ และให้กินอาหารตามสูตรที่คำนวณไว้ จากนั้นจะคัดตัวเลือกวัวที่มีลักษณะดี ไปเลี้ยงต่อในโรงเรือนระบบปิด (Evaporative Cooling Systems) หรือ Evap เพื่อเลี้ยงต่ออีก 3-4 เดือน ในอุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส เพื่อให้มีน้ำหนักประมาณ 600-800 กิโลกรัมต่อตัว และทำให้เกิดรายได้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า 20,000 บาทต่อตัว


“ต้องขอขอบคุณแม็คโครที่ช่วยพลิกวิกฤติเป็นโอกาส โดยเข้ามาช่วยรับซื้อผลผลิตในช่วงวิกฤติโควิด-19 ทำให้เกษตรกรมีรายได้”  

          ทั้งนี้ แม็คโครได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนไทยกว่า 5,000 ครัวเรือน เพื่อพัฒนาสู่ตลาดเนื้อพรีเมียม โดยนำเนื้อโคขุนไทยแองกัส และไทยวากิว ที่มีลายไขมันแทรก (Marbling Score)  MS4+, MS5+ ซึ่งเป็นเนื้อคุณภาพดีมาจำหน่าย รองรับกระแสความนิยมในการบริโภคเนื้อวัวของคนไทยที่มีอัตราการบริโภคเฉลี่ย 2.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และมีแนวโน้มการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง



          นางศิริพร กล่าวอีกว่า “ตลาดของเนื้อวัวพรีเมียมยังมีการเติบโตอีกมาก แม็คโครได้วางแผนส่งเสริมการขาย การพัฒนาต่อยอดสินค้า ร่วมกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จัดโปรโมชั่น ‘แม็คโคร แหล่งรวมเนื้อคุณภาพ (Beef Destination)’ เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มเข้าถึงเนื้อวัวพรีเมียมคุณภาพดี มีความหลากหลาย ราคาเข้าถึงง่าย ทุกสาขาทั่วประเทศ”

ยิ่งใหญ่ประจำปี!! “ภูมิพลังแผ่นดิน” น้อมรำลึกในหลวง ร.9 นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม 3 – 6 ธันวาคมนี้ ที่พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ จ.ปทุมธานี


          พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ เตรียมจัดงานใหญ่มหกรรมภูมิพลังแผ่นดิน ระหว่างวันที่ 3 – 6 ธันวาคม 2563 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สดุดีพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเชิดชูเกียรติยศในฐานะที่ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ นวนคร จ.ปทุมธานี

นางสาวสมพิศ  วงศ์ปัญญา
รองผู้อำนวยการ (ฝ่ายบริหาร)
รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
          นางสาวสมพิศ  วงศ์ปัญญา รองผู้อำนวยการ (ฝ่ายบริหาร) รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า “การจัดงานมหกรรมภูมิพลังแผ่นดินถือเป็นงานใหญ่ประจำปีที่พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเผยแพร่พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาทรัพยากรดินเพื่อการเกษตร และในปีนี้สมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership : GSP) ได้กำหนดหัวข้อการจัดงานวันดินโลก “Keep soil alive, protect soil biodiversity : รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” ภายในงานจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ อาทิ นิทรรศการรักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน นิทรรศการภูมิพลังแผ่นดิน แผ่นดินนี้มีพลัง นิทรรศการรักแผ่นดินตามรอยพ่อ 


โดยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน พี่น้องเครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระปรีชาสามารถด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรดินมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจัดอบรม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ศาสตร์พระราชาอบรมวิชาของแผ่นดิน และอบรมเชิงปฏิบัติการกว่า 30 หลักสูตร อาทิ หลักสูตรเกษตรแปลก แหวกแนว โดยอาจารย์ปา ไชยปัญหา หลักสูตรเกษตรสวนทาง สร้างรายได้ โดยอาจารย์วีรยุทธ ศรีเลอจันทร์ หลักสูตรพลังแผ่นดิน พลังชีวิต โดยอาจารย์ไพโรจน์ อรรคสีวร เป็นต้น ชม ช้อป สินค้าเกษตรอินทรีย์จากเกษตรกรในตลาดนัดเศรษฐกิจพอเพียงกว่า 300.บูธ  



พิเศษ วันที่ 5 ธันวาคม 2563 เวลา 07.00 น. ร่วมทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์ 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ และตอนเย็นในวันเดียวกันนี้ เชิญรับชมคอนเสิร์ตเทิดพระเกียรติฯ บรรเลงบทเพลงด้วยเสียงขลุ่ยแห่งความคิดถึง โดยอาจารย์ ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ พร้อมด้วยกิจกรรมอีกมากมายตลอดทั้ง 4 วัน”


          นิทรรศการรักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน นำเสนอพระอัจฉริยภาพด้านการจัดการดินของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร การใช้พืชบำรุงดิน ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากการน้อมนำพระราชดำริมาใช้ในการปลูกพืชบำรุงดิน และกิจกรรมแจกเมล็ดพันธุ์ถั่วพร้าและเมล็ดปอเทืองให้กับผู้เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการ


           นิทรรศการภูมิพลังแผ่นดิน แผ่นดินนี้มีพลัง จัดแสดงโมเดลทางรอดเมื่อเจอวิกฤติกับ 8 โมเดล 8

           ฐานการเรียนรู้ เช่นภูมิสังคม “วิถีบ้านบ้าน”.ภูมิสังคม “เกษตรคนเมือง”เกษตรทฤษฎีใหม่ตามภูมินิเวศ ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง  บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตความเป็นอยู่ผ่านปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้สู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนจากพี่น้องเครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ ที่ผนึกกำลังมาถ่ายทอดประสบการณ์


          นิทรรศการรักแผ่นดินตามรอยพ่อ นิทรรศการที่นำเสนอพระเกียรติคุณพระอัจฉริยภาพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผ่านหน่วยงานภาคีความร่วมมือ อาทิ สถานีพัฒนาที่ดินปทุมธานี สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้น


          นิทรรศการสื่อดิจิทัล “พิพิธภัณฑ์ยุคใหม่ ขับเคลื่อนด้วยสื่อดิจิทัล”เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณ   และพระอัจฉริยภาพ พระมหากษัตริย์ไทย ด้านการเกษตร และถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านโลกดิจิทัลสู่สาธารณชน ในวงกว้างมากยิ่งขึ้นด้วยรูปแบบสื่อออนไลน์ ผ่าน 12 รายการในรูปแบบที่สนุกสนาน เข้าใจง่าย พร้อมสอดแทรกองค์ความรู้ในรูปแบบที่หลากหลายเพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มวัยด้วยเชื่อว่าความดีงามนั้นสืบทอดได้ มาร่วมกันสืบสานรักษา ต่อยอด พระราชปณิธานแห่งความพอเพียงที่พิพิธภัณฑ์การเกษตร แหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้เกษตรเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับทุกคนในครอบครัว


          ลดราคาพิเศษ! เปิด 4 พิพิธภัณฑ์ในอาคาร ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ในหลวงรักเรา พิพิธภัณฑ์มหัศจรรย์พันธุกรรม พิพิธภัณฑ์ป่าดงพงไพร และพิพิธภัณฑ์ดินดล พร้อมด้วยภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติ 6 เรื่อง 6 รอบ สนุกครบรส ตื่นตา ตื่นใจทะลุจอ


          ชม ช้อป สินค้าเกษตรปลอดภัย ผัก ผลไม้ สดใหม่จากสวน ผลิตภัณฑ์แปรรูปคุณภาพจากเครือข่ายเกษตรกรและภาคีความร่วมมือ ที่นำมาจำหน่ายให้ผู้เข้าร่วมงานได้เลือกซื้อกลับบ้านในราคามิตรภาพ 


          ลด ละ เลิก การใช้ถุงพลาสติก ด้วยการนำถุงผ้ามาช้อป ตะกร้ามาใส่ของ พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรม “เพาะ แจก แลก เปลี่ยน” นำภาชนะเหลือใช้ ถุงพลาสติก แก้วน้ำมาเพาะกล้าไม้กลับไปดูแลต่อที่บ้าน พร้อมกิจกรรมสีสันงานวัด เช่น ประคบทอง แม่นจริงยิงหนู ปาโป่งหรรษา แต่งแต้มสีตุ๊กตา เป็นต้น




          นางสาวสมพิศ  วงศ์ปัญญา กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน เยาวชน และผู้ที่สนใจ ร่วมเรียนรู้ศาสตร์พระราชา สืบสาน รักษา ต่อยอดจากในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่ในหลวงรัชกาลปัจจุบันที่ทรงพระราชทานความช่วยเหลือต่างๆ แก่พสกนิกรชาวไทย สืบทอดพลังแห่งความดีผู้ทรงเป็นดั่งกำลังของแผ่นดินพลังของปวงชนชาวไทย ระหว่างวันที่ 3 – 6 ธันวาคม 2563 เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯจ.ปทุมธานี”

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-529-2212-13, 087-359-7171, 094-649-2333 คลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.wisdomking.or.th หรือ facebook : พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ  InstagramID: wisdomkingfan และLine ID : @wisdomkingfan

"ดร.เอนก" รมว.อว. ตรวจเยี่ยม วช. และชมงานวิจัยกว่า 70 ผลงาน


          รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตรวจเยี่ยมสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมมอบนโยบายและเยี่ยมชมนิทรรศผลงานวิจัยกว่า 70 ผลงาน เช่น การเฝ้าระวังและเตือนภัยปัญหาหมอกควัน ระบบหุ่นยนต์เคลื่อนที่ลำเลียงและเวชภัณฑ์ และโครงการประเมินผลกระทบของโควิด – 19 ต่อสังคมและเศรษฐกิจ





ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม


          ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตรวจเยี่ยมสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และเยี่ยมชมนิทรรศการงานตามนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ( อว.) อันเป็นผลการดำเนินงานการบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม และกิจกรรมตามภารกิจของ วช. พร้อมทั้งมอบนโยบายการดำเนินงานให้แก่ วช. โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ พร้อมด้วย ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ วช. และคณะนักวิจัยให้การต้อนรับ




ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง
รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 


          สำหรับนิทรรศการงานตามนโยบายกระทรวง อว. จากการบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรมตามภารกิจของ วช. มีจัดแสดงกว่า 70 ผลงาน ได้แก่ ผลงานวิจัยภายใต้แพลตฟอร์มโจทย์ท้าทายทางสังคมในกลุ่มโจทย์ท้าทายด้านทรัพยากร สิ่งแวดล้อมและการเกษตร ได้แก่ การเฝ้าระวังและเตือนภัยปัญหาหมอกควัน โดยเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศระบบเซ็นเซอร์ Dustboy ในประเทศไทย ระยะที่ 3 กลุ่มสังคมสูงวัย ได้แก่ ระบบหุ่นยนต์เคลื่อนที่ลำเลียงยาและเวชภัณฑ์ การติดตั้งและทดสอบระบบเตียงพลิกตะแคงอัตโนมัติพร้อมโปรแกรมสมาร์ทเบดสำหรับผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ กลุ่มสังคมคุณภาพและความมั่นคง ได้แก่ โครงการประเมินผลกระทบของโควิด – 19 ต่อสังคมและเศรษฐกิจ ชุดแผนงานครอบครัวไทยไร้ความรุนแรง





THAC ขอเชิญร่วมฟังเสวนา “เปิดทุกปัญหาการขนส่งทางน้ำ และยุติด้วยการระงับข้อพิพาททางเลือก”

 

สถาบันอนุญาโตตุลาการ (THAC) ร่วมกับ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ขอเชิญชวนผู้สนใจทุกท่านร่วมฟังเสวนา “เปิดทุกปัญหาการขนส่งทางน้ำ และยุติด้วยการระงับข้อพิพาททางเลือก” วิเคราะห์เจาะปัญหาที่สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธุรกิจโลจิสติกส์ที่ได้รับผลกระทบและเกิดปัญหาเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการขนส่งภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการระงับข้อพิพาททางเลือก เช่น การประนอมข้อพิพาท และการอนุญาโตตุลาการ ที่จะช่วยลดผลกระทบในข้อพิพาททางโลจิสติกส์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ในวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 13.00-16.30 น. ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ อาคารภิรัช ทาวเวอร์ ชั้น 26 (เอ็มควอเทียร์) ไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 018 1615 หรือ https://thac.or.th/th/seminar/adr-logistic



พม. มอบ กคช. จัดโครงการประกวด “ชุมชนสดใสฯ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 หวังนำจุดเด่นแต่ละชุมชนมาบูรณาการให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

 

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) จัดโครงการประกวดชุมชนสดใส จิตใจงดงาม ประจำปี 2563 ภายใต้คอนเซปต์ “ชุมชนดีเด่น” เพื่อเฟ้นหาชุมชนที่มีความโดดเด่นในแต่ละด้าน โดยคัดเลือกชุมชนที่อยู่ในความดูแลของ กคช. จำนวนกว่า 700 ชุมชน ทั้งประเภทแนวราบและแนวสูง ชิงเงินรางวัลรวมเกือบ 500,000 บาท โดยมี นายทวีพงษ์  วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ และชาวชุมชนเข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 ณ โรงแรม รามา การ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ


นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า การเคหะแห่งชาติได้มุ่งเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน สอดรับกับนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) CSR โครงการประกวด “ชุมชนสดใส จิตใจงดงาม” ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา เพื่อรณรงค์ให้ชาวชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการอยู่อาศัย และสภาพแวดล้อมชุมชน เกิดแรงกระตุ้นในการเรียนรู้ การพัฒนา และการต่อยอดความรู้ภายในชุมชนของตนเอง พร้อมยกระดับชุมชนให้เป็น “ชุมชนต้นแบบสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” (Smart Sustainable Community) ตามแผนยุทธศาสตร์การเคหะแห่งชาติ พ.ศ.2560 - 2570

สำหรับการจัดโครงการประกวด “ชุมชนสดใส จิตใจงดงาม” ประจำปี 2563 เป็นการจัดงานครั้งที่ 12 โดยมีแนวคิด “ชุมชนดีเด่น” ซึ่งชุมชนที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องมีความโดดเด่ดในด้านที่กำหนดไว้ 8 ด้าน ได้แก่ 

ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการขยะ ด้านส่งเสริมอาชีพ ด้านส่งเสริมกิจกรรมเยาวชน ด้านสุขภาพและกีฬา ด้านส่งเสริมกิจกรรมผู้สูงอายุ ด้านผู้นำชุมชนดีเด่นประเภทชาย และผู้นำชุมชนดีเด่นประเภทหญิง แต่ละชุมชนจะต้องมีความโดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งอย่างเป็นรูปธรรม แสดงให้เห็นถึงการดำเนินกิจกรรมนั้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการพัฒนาและต่อยอดจนเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน ทั้งสามารถเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่นได้ 

“การกำหนดเกณฑ์ 8 ด้าน เพื่อคัดเลือกชุมชนที่มีความโดดเด่นในแต่ละด้านขึ้นมา จะทำให้มองเห็นจุดเด่นของชุมชนนั้นๆ ได้อย่างชัดเจนขึ้น ตั้งแต่การเริ่มต้นจัดตั้งกลุ่ม การบริหารจัดการ การเรียนรู้และแก้ไขปัญหาอุปสรรค รวมไปถึงการทำให้คนในชุมชนยอมรับและสามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การเคหะแห่งชาติยังได้ชุมชนต้นแบบมาบูรณาการขับเคลื่อนระหว่างชุมชน ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากชุมชนหนึ่งไปยังอีกหนึ่งชุมชน จนเกิดเป็นชุมชนต้นแบบสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Smart Sustainable Community) ทั้งในด้านมิติเศรษฐกิจ มิติการ   มีส่วนร่วม มิติสุขภาพ และมิติสิ่งแวดล้อม”

สำหรับชุมชนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบในโครงการประกวด “ชุมชนสดใส จิตใจงดงาม” ประจำปี 2563 ภายใต้แนวคิด “ชุมชนดีเด่น” มีทั้งสิ้น 16 ชุมชน ซึ่งในแต่ละชุมชนจะได้รับเงินรางวัลชุมชนละ 30,000 บาท ซึ่งชุมชนที่ได้รับรางวัล ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรประจวบคีรีขันธ์(แนวราบ) และโครงการบ้านเอื้ออาทรนครปฐม(แนวสูง) ด้านการบริหารจัดการขยะ ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง10/2 (แนวราบ) และโครงการบ้านเอื้ออาทรบางโฉลง (แนวสูง) ด้านส่งเสริมอาชีพ ได้แก่ โครงการเคหะชุมชนรังสิต คลอง 8 (แนวราบ) และโครงการบ้านเอื้ออาทรนนทบุรี (วัดกู้ 2) (แนวสูง)  ด้านส่งเสริมกิจกรรมเยาวชน ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรนครราชสีมา (หนองบัวศาลา1) (แนวราบ) และโครงการบ้านเอื้ออาทรปทุมธานี (สี่แยกปทุมวิไล) (แนวสูง) ด้านสุขภาพและกีฬา ได้แก่ โครงการเคหะชุมชนเชียงใหม่ (หนองหอย) (แนวสูง) และโครงการบ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า 2  (แนวสูง) ด้านส่งเสริมกิจกรรมผู้สูงอายุ ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรนครสวรรค์ 2 (แนวราบ) และโครงการบ้านเอื้ออาทรบางบัวทอง 2 (บางกรวย) (แนวสูง)  ด้านผู้นำชุมชนดีเด่นประเภทชาย ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่(สันป่าตอง) (แนวราบ) และโครงการบ้านเอื้ออาทรบางบัวทอง 1 (แนวสูง)  และผู้นำชุมชนดีเด่นประเภทหญิง ได้แก่ โครงการเคหะชุมชนขอยแก่น ระยะ 1-3 (แนวราบ) และโครงการบ้านเอื้ออาทรปทุมธานี (พหลโยธิน กม. 44) (แนวนสูง)

“การเคหะแห่งชาติในฐานะผู้สร้างบ้านและสร้างชุมชนเข้มแข็ง อยากเห็นการพัฒนาชุมชนในทุกมิติ รวมถึงการได้เห็นคนในชุมชนเกิดความรักและหวงแหนถิ่นที่อยู่อาศัยของตน ดังนั้นโครงการประกวดชุมชนสดใส จิตใจงดงามจึงถือเป็นการสร้างแรงจูงใจด้วยการนำชุมชนที่มีศักยภาพมาโชว์เพื่อกระตุ้นให้ชุมชนอื่นๆ ต้องการริเริ่มพัฒนาชุมชนของตนเองให้มีความน่าอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป”

เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่มหกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ สืบสานงานพ่อ พัฒนาส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน

  “พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ สานต่อพระราชปณิธานด้านเกษตร”  เปิดมหกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ‘สืบสานงานพ่อ พัฒนา ส่งต่ออาชีพที่ยั่งยืน’ อย่างยิ่งใหญ่  วั...