วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565

กยท. เตรียมจัดงาน “มหกรรมยางพารา 2564 : นครฯ แห่งนวัตกรรมยางพารา” อย่างยิ่งใหญ่ โชว์นวัตกรรมแปรรูปยางพารา หนุนเกษตรกรต่อยอดธุรกิจ ที่ จ.นครศรีธรรมราช

 วันที่ 30 มีนาคม 2565 นายวิชัย ไตรสุรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย นายไกรศร วิศิษฎิวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และ นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการสายงานการผลิต บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าวงาน มหกรรมยางพารา 2564ณ ห้องประชุม อาคารข่าวสด โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2565 ณ สนามการยางแห่งประเทศไทย เขตภาคใต้ตอนกลาง อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช

นายวิชัย ไตรสุรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินนโยบายบริหารจัดการยางพาราสินค้าเกษตรที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งมีเกษตรกรปลูกยางจำนวน 1.83 ล้านราย ครอบคลุมพื้นที่ 24.76 ล้านไร่ มีผลผลิตยางพารามากเป็นอันดับ 1 ของโลก ประมาณ 4.4 ล้านตัน มีผลผลิตยางพารามากเป็นอันดับ 1 ของโลก ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยบูรณาการร่วมกับทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง โดยมีการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนนโยบายพิจารณาแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการตลาดยางพารา โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่าง ผู้ซื้อผู้ขาย ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ตลาด นำการผลิต รวมถึงการส่งเสริมด้านเทคโนโลยีและนัวตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการผลิตและการแปรรูปสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพารา 

โดยร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ในงานด้านวิจัยและพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมทั้งร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้คณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) เพื่อรองรับ การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (Southern Economic Corridor) ของรัฐบาล สู่การพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจรครอบคลุมทั้งกิจกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มยางพาราทั้งระบบ


ด้าน นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์และแนวทางของการจัดงานในครั้งนี้ว่า เนื่องด้วย กยท. ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ถือเป็นแหล่งปลูกยางพาราสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการปลูกยางพาราในประเทศไทย สำหรับการจัดงานมหกรรมยางพาราในครั้งนี้ ต้องยกเครดิตให้กับ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน ฯลฯ ที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนการจัดงานมหกรรมยางพาราอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศไทย และกระตุ้นให้เกษตรกรชาวสวนยางพารา เกิดแนวคิดในการพัฒนาอาชีพการทำสวนยางพาราให้มีความมั่นคงและยั่งยืน

โดยแนวทางการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อโชว์ศักยภาพไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการแปรรูปยางพาราของโลก และเป็นเวทีการเจรจาธุรกิจเพื่อแสวงหาพันธมิตรคู่ค้าใหม่ในตลาดยางพาราระดับนานาชาติ

ในวันงานทุกท่านจะได้เห็นการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ในการจัดการดูแลจัดการมาตรฐานในสวนยางพารา วันนี้มาตรฐานในสวนยางพาราถือเป็นเรื่องสำคัญ ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ได้มีการผลักดันในเรื่องของมาตรฐาน FSCTM ซึ่งในงานเราก็จะมีการจัดโชว์เคส แนะนำในเรื่องของการแสดงปลูกสร้างจิตสำนึกให้กับพี่น้องชาวสวนยางไม่เฉพาะแค่ชาวนครศรีธรรมราช แต่เป็นของทั้งประเทศ ให้สอดคล้องกับที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลูกยางเป็นอันดับ 1 ของโลก และกำลังพยายามผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นวาระของโลก ส่งเสริมให้ยางพาราที่เป็นพืชหลักในการผลักดัน ตามที่ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้ทาง กยท.ผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา โดยให้ความสำคัญทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี

ซึ่งภายในงานจะมีการจัดแสดงนวัตกรรมยางพาราในหลายรูปแบบ เช่น 1. การเปิดตัวแอปพลิเคชั่น เพื่อปรับพฤติกรรมของเกษตรกรให้ทันสมัยมากขึ้น และเพื่อยืนยันว่าการจัดการดูแลสวนยางพาราของเกษตรกร ทันตามมาตรฐานโลก และสิ่งนี้จะเป็นการสร้างความสามารถทางการแข่งขันโดยการใช้ระบบดิจิทัลเข้ามาช่วยในการสนับสนุน 2. การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต/ผลิตยางกั้นล้อ ระดมแปรรูปยางเป็น ยางกั้นล้อรุ่นพิเศษของ พีทีทีโออาร์ให้บริษัทในเครือ ปตท. 3. โชว์ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา เช่น นวัตกรรมสระน้ำยางพารา เก็บกักน้ำสู้ภัยแล้ง 4. ถือเป็นกิจกรรมไฮไลต์สำคัญ คือ กยท. เตรียมเปิดบริการตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าแบบส่งมอบจริง และเปิดเวทีเจรจาธุรกิจ ให้แก่เกษตรกร/สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบกิจการยางได้มีโอกาสขยายช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและส่งออกไปพร้อมๆ กัน

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเข้ามาเที่ยวชมงานและร่วมกิจกรรมต่างๆ ในงานมหกรรมยางพารา 2564 : นครฯ แห่งนวัตกรรมยางพารา ได้ตั้งแต่วันที่ 8-10 เมษายน 2565 ณ สนามการยางแห่งประเทศไทย เขตภาคใต้ตอนกลาง อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช


สำหรับความสำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช นายไกรศร วิศิษฎิวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ในฐานะจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพื้นที่ปลูกยางเป็นอันดับต้นๆ ส่งผลให้จังหวัดมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยางพาราอย่างมาก โดยยางพาราถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักอันดับหนึ่งของจังหวัด มีพื้นที่ปลูกถึง 1,880,560 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 30.26 ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด 6,214,064 ไร่ ด้วยสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสม ทำให้ยางพาราที่ปลูกในพื้นที่นครศรีธรรมราช สามารถให้ผลผลิตน้ำยางคุณภาพดีติดอันดับโลก ทำให้นครศรีธรรมราชเป็นหนึ่งในที่ตั้งตลาดกลางยางพาราที่มีความสำคัญของประเทศ ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมยางพาราในนครศรีธรรมราชก็มีปัจจัยหนุนด้วยทำเลที่ตั้งของจังหวัด ที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อกับจังหวัดอื่นๆ ได้โดยสะดวก

ในแต่ละปีจังหวัดนครศรีธรรมราชมีผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งปีคิดเป็นมูลค่า 180,000 ล้านบาท อันดับหนึ่งเป็นผลผลิตด้านการเกษตร ที่มีมูลค่าประมาณ 47,000 ล้านบาทต่อปี อันดับ 2 เป็นค้าปลีก ซึ่งทั้ง 2 ภาคนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยพยุงเศรษฐกิจและพร้อมที่จะไปแข่งขันในระดับนานาชาติ นี่คือศักยภาพของพี่น้องเกษตรกรนครศรีธรรมราชในทุกมิติ อย่างอำเภอนาบอน มีโรงงานอุตสาหกรรมการยาง ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปยางพาราชนิดต่างๆ ทั้งโรงงานน้ำยางข้น โรงงานยางแผ่น และโรงงานผลิตยางแผ่นอบแห้ง ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาทขึ้นไป ราว 5 แห่ง และนครศรีธรรมราชถือเป็นหมุดหมายในแผนฉบับที่ 13 ที่จะต้องพัฒนาในเรื่องของพลังงานต่างๆ เพราะฉะนั้นการปูพื้นเรื่องยางพาราจะเป็นศักยภาพที่จะก้าวกระโดดไปการแข่งขันนานาชาติได้

สุดท้าย นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการสายงานการผลิต บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญของอุตสาหกรรมยางพาราว่า พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราคือหนึ่งในกลุ่มคนที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตอย่างมาก ซึ่งทางคาราบาวกรุ๊ปขอร่วมชื่นชมและยกย่องพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา และเพื่อมอบสิ่งดีๆ กลับคืนให้กับพี่น้องเกษตรกร รวมถึงประชาชนทั่วไป ทางคาราบาวกรุ๊ปขอถือโอกาสนี้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งการมอบความสุขและความสนุกสนาน ด้วยการขนทัพบู๊ธจัดกิจกรรมแจกของมากมาย รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมกรีดยาง โดยมอบผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มคาราบาวแดงแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลที่ 1-3 แล้วพบกันที่งาน มหกรรมยางพารา 2564 : นครฯ แห่งนวัตกรรมยางพารา นายกมลดิษฐ กล่าวทิ้งท้าย 

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2565

เครือข่ายสหกรณ์โคนมกำแพงเพชรทำ MOU ซื้อมันเส้น โดยตรงจากสหกรณ์ผู้ปลูกมันสำปะหลังและผู้ประกอบการส่งออกหวังแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบอาหารสัตว์หลังราคาขยับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง


 

นายอัชฌา สุวรรณนิตย์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ร่วมกับนายณรงค์ ขันติวิริยะกุล ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และนายสุวิทย์ สันตติวงศ์ไชย ปลัดจังหวัดกำแพงเพชรเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ซื้อ – ขายมันเส้นสะอาดระหว่างเครือข่ายสหกรณ์โคนมกับสหกรณ์ผู้ผลิตและรวบรวมมันสำปะหลังในจังหวัดกำแพงเพชรและผู้ประกอบการส่งออก 




สำหรับสหกรณ์เครือข่ายโคนมเป็นสหกรณ์ในจังหวัดสระบุรี ลพบุรี ชัยภูมิ เชียงใหม่ และลำพูนรวม 8 แห่งได้แก่ สหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จำกัด สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์กมิตรภาพ จำกัด สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์กพัฒนานิคม จำกัด สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์กสวนมะเดื่อ จำกัด สหกรณ์โคนมพัฒนานิคม จำกัด สหกรณ์โคนมลำพูน จำกัด สหกรณ์โคนมผาตั้ง จำกัด และสหกรณ์โคนมเทพสถิต จำกัด ส่วนสหกรณ์ผู้ผลิตและรวบรวมมันสำปะหลังเป็นสหกรณ์ในจังหวัดกำแพงเพชรและผู้ประกอบการส่งออกมันสำปะหลังได้แก่ บริษัท ทาปิโอกา คอร์เปอเรชั่น จำกัด 




ทั้งนี้ตาม MOU สหกรณ์เครือข่ายโคนมจะรับซื้อมันเส้นสะอาด 17,040 ตัน มูลค่า 136.795 ล้านบาทไปเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ซึ่งปัจจุบันเกิดภาวะวัตถุดิบอาหารสัตว์ขาดแคลนและราคาแพง ดังนั้นการซื้อ-ขายโดยตรงจากสหกรณ์ผู้ผลิตมันและรวบรวมมันสำปะหลัง รวมถึงผู้ประกอบการส่งออกจะทำให้เครือข่ายสหกรณ์โคนมจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ตามต้องการอย่างเนื่องและราคาไม่ผันผวน ส่วนสหกรณ์ผู้ผลิตและรวบรวมมันสำปะหลังมีโอกาสขยายตลาด โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากธ.ก.ส. ซึ่งเป็นไปตามนโยบายพัฒนาศักยภาพสหกรณ์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์





วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2565

มาเลเซียประกาศยกเลิกการแบนนำเข้าโค-กระบือจากไทย แล้วหลังไทยมีมาตรดารควบคุมโรคเข้ม มีผลส่งออกตามเงื่อนไขได้ทันที

 


นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่าล่าสุด กรมสัตวแพทย์บริการ (The Veterinary Services Department (DVS)) ประเทศมาเลเซีย ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแจ้งยกเลิกการแบนนำเข้าโค-กระบือจากประเทศไทย ตั้งแต่ 15 มีนาคม 2565 มีผลทันที โดยประเทศไทยสามารถส่งออกโค-กระบือ (ทั้งโค-กระบือขุนและพ่อแม่พันธุ์) ไปประเทศมาเลเซียตามเงื่อนไขและขั้นตอนการนำเข้าได้ ซึ่งนับเป็นเรื่องต่อด้านปศุสัตว์และอุตสาหกรรมผู้เลี้ยงโค-กระบือ โดยการประกาศของทางมาเลเซียเนื่องจากเค้าเชื่อมั่นในระบบการควบคุมและป้องกันโรคของประเทศไทย


เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคลัมปีสกินในประเทศไทย เพื่อเป็นการป้องกันโรคและลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดต่ออุตสาหกรรมโค-กระบือของประเทศมาเลเซีย มาเลเซียจึงประกาศระงับการนำเข้าโค-กระบือจากประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2564 นั้น ซึ่งล่าสุดมีข่าวดีมาแจ้งได้รับรายงานใน วันที่ 15 มีนาคม 2565 ว่ากรมสัตวแพทย์บริการ (DVS) ประเทศมาเลเซีย ได้ออกประกาศรายงานและมีหนังสือแจ้งกรมปศุสัตว์มาอย่างเป็นทางการแล้ว อนุญาตให้นำเข้าโค-กระบือ (ทั้งโค-กระบือขุนและพ่อแม่พันธุ์) จากประเทศไทยได้ โดยมีผลทันที เนื่องจากประเทศมาเลเซียมีความเชื่อมั่นในระบบการป้องกันและควบคุมโรคลัมปีสกินในโค-กระบือของประเทศไทยว่ามีมาตรการในการดำเนินการที่ครอบคลุมมีประสิทธิภาพ สามารถกำจัดควบคุมและป้องกันการเกิดโรคได้ มีมาตรการในการตรวจสอบกำกับและการควบคุมการเคลื่อนย้ายที่ชัดเจน 


อย่างไรก็ตาม DVS และกรมปศุสัตว์ ประเทศไทย ได้ทบทวนจัดทำและบรรลุข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการในการควบคุมโรคลัมปีสกินและขั้นตอนในการนำเข้า ซึ่งจะมีการปรับข้อกำหนดมาตรการและขั้นตอนการนำเข้าบางส่วนให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยจุดประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบในการเกิดโรคจากการเคลื่อนย้ายโค-กระบือเข้าไปในประเทศมาเลเซีย ซึ่งกรมปศุสัตว์ต้องมีการขึ้นทะเบียนทั้งผู้นำเข้า พ่อค้าคนกลาง และเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ และต้องมีการบังคับใช้กฎหมายพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2559 และกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญต้องกำกับดูแลให้ทั้งผู้นำเข้า พ่อค้าคนกลาง และเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมและป้องกันโรคลัมปีสกิน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนทั้งหมดที่เกี่ยวกับการนำเข้าโค-กระบือสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงไม่ให้สัตว์ที่เป็นโรคเข้าไปสู่ประเทศมาเลเซียได้ ซึ่งไม่เพียงแต่เพื่อป้องกันและควบคุมโรคลัมปีสกินเท่านั้น ยังครอบคลุมถึงโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) และโรคแท้งติดต่อ (Brucellosis) ด้วย โดยจากข้อมูลกองสารวัตรและกักกันพบว่าตั้งแต่ปี 2561 - มิถุนายน 2564 มีปริมาณโค-กระบือที่นำเข้าไปมาเลเซียประมาณ 68,523 ตัว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการนำเข้าโค-กระบือจากประเทศไทยมากขึ้นในช่วงเทศกาลฮารีรายอ ฮัจจิ (Hari Raya Haji) หรือเทศกาลแห่งการบูชายัญและขอให้เกษตรกรและผู้เลี้ยงโค-กระบือทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมและป้องกันโรค ต่อไปเพื่อป้องการการระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้


ปศุสัตว์ยังเดินหน้าตรวจห้องเย็นรอบใหม่ต่อเนื่อง หวั่นกักตุนสินค้าปศุสัตว์สร้างปัญหากระทบค่อผู้บริโภค

 


นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความห่วงใยและให้ความสำคัญ ในกรณีที่อาจมีการกักตุนสินค้าประเภทเนื้อสุกรเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยล่าสุดได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเครือข่ายปฏิบัติงานเร่งตรวจสอบห้องเย็นต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ พร้อมหน่วยงานเครือข่ายสนองนโยบาย ได้สนธิกำลังไล่ตรวจสอบห้องเย็นรอบใหม่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ -16 มีนาคม 2565 สรุปผลการตรวจสอบและการดำเนินการตามกฎหมาย พรบ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 


โดยล่าสุดรายงานผลการตรวจสอบห้องเย็นประจำวันที่ 16 มีนาคม 2565 พื้นที่ที่เข้าตรวจสอบรอบใหม่จำนวน 15 แห่ง ในจังหวัดชลบุรี มุกดาหาร ขอนแก่น นครปฐม กาญจนบุรี สงขลา ระยอง เชียงใหม่ ตรวจพบซากสุกรจำนวน 259,994.40 กิโลกรัม รวมจำนวนตรวจพบซากสุกรที่พบในห้องเย็นรอบใหม่รวมสะสมตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 16 มีนาคม 2565 รวมทั้งสิ้น 16,627,851.27 กิโลกรัม จากห้องเย็นทั้งหมด 402 แห่ง (รอบแรกผลการตรวจสอบซากสุกรสะสมตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม – 24 กุมภาพันธ์ 2565 พบซากสุกรจำนวน 25,378,161.810 กิโลกรัม)


สำหรับรายงานข้อมูลสภาวะตลาดสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 10/2565) สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ประกาศราคาสุกรขุนมีชีวิตหน้าฟาร์ม ณ วันพระที่ 10 มีนาคม ที่กิโลกรัมละ 88-91 บาท สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานว่า ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มปรับราคาขึ้นเล็กน้อย แม้ต้นทุนเลี้ยงสัตว์และค่าพลังงานน้ำมันเพิ่มขึ้น กระทบทั้งต้นทุนการผลิตและต้นทุนการขนส่ง ขณะที่ราคาจำหน่ายเนื้อสุกรและสุกรขุนหน้าฟาร์มยังคงถูกจับตา ปัจจัยที่ท้าทายภาคปศุสัตว์ไทยในสถานะการณ์สงครามที่เป็นปัญหาหนัก นอกเหนือจากปัญหาราคาน้ำมัน คือราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ เพราะรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์รายใหญ่ของโลก โดยมีปริมาณการส่งออกข้าวสาลีรวมกันราว 29% ของปริมาณการส่งออกทั่วโลก และมีสัดส่วนการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงถึง 19% ของตลาดโลก สร้างปัจจัยบวกให้การค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไร้การเข้ามาควบคุมราคา ทั้ง ๆ ที่ Corn CBOT เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 รอบส่งมอบเดือนพฤษภาคม 2565 ราคาย่อตัวมาปิดที่ 722.1 เซนต์/บุชเชล (เทียบเท่า 9.380 บาทต่อกิโลกรัม ณ THB 32.9983/USD) ส่วนลูกสุกรน้ำหนัก 16 กิโลกรัมต่อตัว ราคาอยู่ที่ 2,700 บาท (บวก/ลบ 84) สรุปแนวโน้ม : คาดว่าราคาสุกรน่าจะยืนแข็ง


หากประชาชนพบความผิดปกติต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่สายด่วนกรมปศุสัตว์ 063-225 -6888 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเพื่อดำเนินการต่อไป

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2565

ผู้เลี้ยงไก่ไทย ท้อใจรัฐยกเลิกมาตรการข้าวโพด-ข้าวสาลี 3:1 กำหนดโควต้า จำกัดเวลา ไม่เกิดประโยชน์

 

     เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ทั่วไทย พ้อแนวทางรัฐบาลยกเลิกมาตรการซื้อข้าวโพด 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกร แต่ซ้ำเติมให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นเพราะเนื้อสัตว์ยังถูกควบคุม ควรพิจารณากลไกตลาดมาเป็นตัวกำหนดราคา ก่อนเกษตรกรถอดใจเลิกเลี้ยง

     นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มติที่ประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย  ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ไก่เนื้อ สุกร และไก่ไข่  และตัวแทนเกษตรกรด้านการเพาะปลูก เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าสูงขึ้น ทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปุ๋ยและผลไม้ โดยที่ประชุมเห็นชอบยกเลิกมาตรการ 3:1  ที่กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วนต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน เป็นการชั่วคราว และให้นำเข้าข้าวสาลีได้เสรีจนถึงวันที่ 31 ก.ค. 65 ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวโพดยังไม่ออกสู่ตลาดและต้องนำเข้าภายใต้โควต้าที่กำหนดเท่านั้น

     ภาครัฐ ยังต้องกำหนดรายละเอียดนำเข้าและวันที่เริ่มนำเข้าซึ่งต้องใช้เวลา ยังโดนจำกัดด้วยโควต้านำเข้าและระยะเวลา เพื่อปกป้องชาวไร่ข้าวโพด แต่ทอดทิ้งเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ให้แบกภาระต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งสุงขึ้นแรงมากในปีนี้และเป็นต้นทุนการเลี้ยง 60-70% ของการเลี้ยง ขณะที่อาหารสัตว์และเนื้อสัตว์ โดนควบคุมราคาทั้งห่วงโซ่การผลิต” นางฉวีวรรณ กล่าว 


สำหรับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อภาคปศุสัตว์ทั่วโลกรวมทั้งไทย เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตธัญพืชรายใหญ่ของโลกทั้งข้าวโพดและข้าวสาลี ทำให้ไทยไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีได้ตามปกติขณะที่ราคาพุ่งขึ้น 43% จาก 8.91 บาท/กก. เป็น 13 บาท/กก. และข้าวโพดจาก 10.05 บาท/กก. เป็น 13 บาท/กก.

     นางฉวีวรรณ กล่าวย้ำว่า แม้ภาครัฐจะยกเลิกมาตรการ 3:1 เป็นการชั่วคราว ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคปศุสัตว์ ที่ผ่านมาสมาคมฯในฐานะตัวแทนเกษตรกเรียกร้องไปยังภาครัฐให้พิจารณานำกลไกการตลาดมาใช้แทนมาตรการควบคุมราคา เพื่อให้ราคาปรับขึ้นลงอย่างสมดุลตลอดห่วงโซ่การผลิตตามหลักการอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) จึงควรยกเลิกการคุมราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์และราคาเนื้อสัตว์ ให้ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาด โดยมีภาครัฐเป็นผู้กำกับดูแล

     ทั้งนี้ กรมการค้าภายใน ใช้มาตรการกำหนดราคาจำหน่ายไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม และราคาจำหน่ายปลีกชิ้นส่วนไก่สด เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ไปสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2565 เพื่อลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภค ขณะที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้ผู้ประกอบการ ผู้ค้า และฟาร์มเลี้ยงไก่ต้องปฏิบัติตามมาตรการดังนี้ 1.ผู้เลี้ยงไก่ที่มีปริมาณการเลี้ยงตั้งแต่ 100,000 ตัวขึ้นไป และโรงชำแหละไก่ที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 4,000 ตัว/วัน ต้องแจ้งปริมาณ สต็อกและต้นทุนราคาจำหน่ายทุกเดือน 2.โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ทั้ง 55 โรง ต้องแจ้งต้นทุนราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิตและสต็อก และ 3.การปรับราคาสินค้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมการค้าภายใน

 


    นางฉวีวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคผู้เลี้ยงสัตว์ขาดทุนสะสมต่อเนื่องจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองสูงขึ้นโดยตลอด ในปี 2564 ราคาปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 30-40% ร่วมถึงปัจจัยการผลิตและการป้องกันโรคระบาดปรับราคาสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย การปล่อยให้ราคาเนื้อไก่ที่ปรับสูงขึ้นตามกลไกตลาดจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ให้มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมและขายสินค้าได้ในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุน ที่สำคัญยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

     หากรัฐบาลยังคงใช้มาตรการการคุมราคาสินค้าภาคปศุสัตว์ทั้งห่วงโซ่การผลิตต่อไป จะส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงรายย่อยและรายเล็กไม่สามารถแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ที่ผ่านมาเนื้อไก่เป็นอาหารโปรตีนคุณภาพดีย่อยง่าย เป็นทางเลือกทดแทนยามเนื้อหมูราคาแพงและขาดแคลน และยังคงเป็นอาหารที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ทั่วไปในราคาที่เป็นธรรม หากราคาเนื้อสัตว์โดนควบคุมต่อไปไม่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ผู้เลี้ยงไม่สามารถอยู่ได้ก็ต้องหยุดเลี้ยง อาจทำให้เกิดปัญหาอาหารขาดแคลนได้” นางฉวีวรรณ กล่าว

สภาเกษตรกรแห่งชาติจัดเวทีรับฟังปัญหาและแนวทางแก้ ด้านข้าวและชาวนาไทย 4 ภาค

 


นายณรงค์รัตน์ ม่วงประเสริฐ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ และ เลขาธิการคณะทำงานด้านข้าวและชาวนา สภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวในการเปิดประชุม "โครงการส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิและการมีส่วนร่วมของชาวนาในการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายด้านข้าวและชาวนาอย่างยั่งยืน" และบรรยายพิเศษ หัวข้อ 'ลดต้นทุนการผลิต ก้าวแรกทางรอดชาวนาไทย" ณ ห้องประชุมสมาคมผู้พิการจังหวัดอ่างทอง ต.ศาลาแดง อ.เมือง จ.อ่างทอง  โดยคณะทำงานด้านข้าวและชาวนา  ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดนครปฐม ราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงสี เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น จำนวน 70 คน  ว่า เริ่มต้นโครงการนี้คืออยากจะได้ทั้งชาวนา โรงสี และผู้ส่งออก มาร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อรวบรวมแล้วจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายด้านข้าวและชาวนาอย่างยั่งยืนและครบวงจร ซึ่งเวทีที่จังหวัดอ่างทองถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่อาจจะปรับเป็นการลงพื้นที่เพื่อหารือถึงมุมมองปัญหาและแนวทางร่วมกันของโรงสี และผู้ส่งออก คณะทำงานด้านข้าวและชาวนาจะนำแนวทางไปปรับเพื่อเวทีในภาคอื่นต่อไป โดยมองว่าเริ่มแรกชาวนาควรมีการปรับตัว ทั้งปัจจัยการผลิต ได้แก่ ที่ดิน ทุน แรงงาน และการจัดการ , วิธีการบำรุงดิน , การแปรรูป  และนโยบายภาครัฐ  


ทั้งนี้ "โครงการส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิและการมีส่วนร่วมของชาวนาในการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายด้านข้าวและชาวนาอย่างยั่งยืน" จัดขึ้นเพื่อจัดทำข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ในการกำหนดนโยบาย มาตรการ และแนวทางแก้ไขปัญหาด้านข้าวและชาวนา โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมเวทีภาคกลางได้นำเสนอหากภาครัฐต้องการช่วยเหลือให้ตรงตามความต้องการ ได้แก่ ระบบชลประทานที่ทั่วถึงทุกพื้นที่ไม่ใช่มีแค่คลองส่งน้ำแต่ไม่มีการส่งน้ำ หรือสนับสนุนบ่อบาดาลขนาดเล็กที่เกษตรกรสามารถบำรุง รักษาด้วยตนเองได้ , ลดภาษีเครื่องมือทางการเกษตร , ลดดอกเบี้ยจากธนาคารที่ไม่ใช่การพักหนี้ เพราะดอกเบี้ยยังปกติอัตราเดิม , ปัจจัยพื้นฐานด้านการผลิตควรมีความเสมอภาค เช่น ค่าเช่าที่ดิน ค่าน้ำ  , การทำนาขาดทุนแต่ส่วนใหญ่ขายได้แต่กำไรน้อย อยากตั้งราคาได้เอง  , การช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น เมล็ดพันธุ์/ปุ๋ยบำรุง มาไม่ตรงตามฤดูกาล เป็นต้น 


อย่างไรก็ตาม คณะทำงานด้านข้าวและชาวนา สภาเกษตรกรแห่งชาติ กำหนดจัดเวทีรับฟังความเห็นจากเกษตรกร พื้นที่ 4 ภาค เริ่มต้นจาก ภาคกลาง จ.อ่างทอง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 ณ สมาคมคนพิการจังหวัดอ่างทอง ต.ศาลาแดง อ.เมือง ภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช วันที่ 18-20 มีนาคม 2565 ภาคอีสาน จ.ศรีษะเกษ วันที่ 25-27 มีนาคม 2565  และ ภาคเหนือ จ.อุตรดิตถ์ วันที่ 1-3 เมษายน 2565  โดยจะรวบรวมความคิดเห็นจากเวทีทั้ง 4 ภาค แล้วดำเนินการจัดทำข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ในการกำหนดนโยบาย มาตรการ และแนวทางแก้ไขปัญหาด้านข้าวและชาวนาต่อไป



วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2565

สัตวแพทย์ ย้ำระบบการเลี้ยงปลาทับทิมมีมาตรฐาน ปลอดภัย ใส่ใจสัตว์-ผู้บริโภค-สิ่งแวดล้อม


สัตวแพทย์ ม.เกษตร แนะ “ปลา” เป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยง่าย อุดมด้วยกรดไขมันชนิดดี แร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญ ระบบการเลี้ยงในปัจจุบันมีการทำเทคโนโลยีทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด พร้อมปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อให้สัตว์มีความสุขกาย สบายใจ ย้ำผู้บริโภคมั่นใจคุณภาพเนื้อปลาปราศจากยาปฏิชีวนะและสารเคมีตกค้าง ปลอดภัย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

อ.สพ.ญ.ดร.ปริญทิพย์ วงศ์ไทย ภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ผนวกกับความต้องการบริโภคอาหารที่ดีเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดตามเทรนด์ใส่ใจสุขภาพ จึงส่งผลให้ผู้ประกอบการหรือเกษตรกรผู้เลี้ยงมีการพัฒนารูปแบบ และวิธีการเลี้ยงตามระบบมาตรฐาน คำนึงถึงสุขภาพสัตว์ มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม


ปลาทับทิมเริ่มมีการเลี้ยงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ภายหลังจากมีการพัฒนาสายพันธุ์จากปลานิลดำเพื่อให้สามารถเลี้ยงได้ในพื้นที่เค็ม มีรูปร่าง สีสัน รวมถึงรสชาติที่ถูกปากผู้บริโภค เดิมทีระบบการเลี้ยงปลาทับทิมเป็นการเลี้ยงระบบเปิด บ่อดิน ไม่มีระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้ปลาทับทิมได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น เกษตรกรจึงเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดการระบบการเลี้ยงอย่างมีมาตรฐาน

ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ อาทิ นวัตกรรม In-Pond Raceway System (IPRS), Recirculating aquaculture systems (RAS) หรือ Biofloc system ซึ่งเป็นระบบการเลี้ยงปลาในระบบปิด มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการใช้พื้นที่ ลดข้อจำกัดด้านการจัดการคุณภาพน้ำ การให้อาหาร การควบคุมโรค การจัดการของเสีย รวมถึงการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลาในประเทศไทยสู่ตลาดโลก

อ.สพ.ญ.ดร.ปริญทิพย์ ระบุว่า ในการจัดตั้งฟาร์มเลี้ยงปลาต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมง และปฏิบัติตามระบบมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ดี (Good Aquaculture Practice; GAP) เพื่อให้ระบบการเลี้ยงมีความยั่งยืน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม กรมประมง และ/หรือ มกอช. มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานประกอบไปด้วย 1) สถานที่ต้องมีความเหมาะสม 2) การจัดการฟาร์มที่ดี ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3) อาหาร วิตามิน ต้องปราศจากการปนเปื้อนของยาและสารต้องห้ามในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กระบวนการถูกสุขอนามัยปลอดภัยต่อสัตว์น้ำและผู้บริโภค 4) เกษตรกรต้องมีความรู้และเข้าใจเมื่อเกิดปัญหาการติดเชื้อในสัตว์น้ำ สามารถจัดการลดความรุนแรงโรคได้ 5) ให้ความสำคัญในการจัดการสุขอนามัยฟาร์ม ด้านการปนเปื้อนเชื้อจากขยะสิ่งปฏิกูล หรือสิ่งขับถ่ายที่อาจปนเปื้อนลงสู่บ่อเลี้ยงได้ 6) การจับและการขนส่งที่ดีจะช่วยทำให้สัตว์น้ำมีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย 7) มีการเก็บข้อมูลการเลี้ยง การให้อาหาร การตรวจสุขภาพ การใช้ยาและสารเคมีอย่างสม่ำเสมอ 

นอกจากนี้ อ.สพ.ญ.ดร.ปริญทิพย์ ย้ำว่า ผู้ประกอบการและเกษตรกรต้องให้ความสำคัญในทุกระบวนการตั้งแต่การเลี้ยง การจัดการฟาร์ม การขนส่ง การทำให้เสียชีวิต รวมถึงการจำหน่ายไปยังผู้บริโภค ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานกำหนด ดำเนินกิจกรรมต่างๆภายใต้หลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ที่มีความสำคัญอย่างมากในวงการเลี้ยงสัตว์ปัจจุบัน เช่น มีพื้นที่กว้างขวางพอที่สัตว์จะสามารถแสดงพฤติกรรมอย่างอิสระ ให้อาหารอย่างเพียงพอ มีการควบคุมป้องกันโรคไม่ให้สัตว์เจ็บป่วย ไม่เครียด ในอีกแง่มุมผู้เลี้ยงควรมองว่า สัตว์ที่เราเลี้ยงนั้นให้คุณประโยชน์มากมาย นอกจากสร้างรายได้แล้ว ยังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญให้มนุษย์เราได้ดำรงชีวิตเพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ที่มีคุณค่า จึงต้องให้ความสำคัญ ตระหนัก ใส่ใจสุขภาพสัตว์ที่เราเลี้ยงอย่างดีที่สุด


สุดท้ายอยากให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าระบบการเลี้ยงปัจจุบันมีมาตรฐาน ระบบการจัดการฟาร์มที่มีการควบคุม ตรวจติดตาม ทำให้มั่นใจในคุณภาพเนื้อได้ว่าปราศจากยาปฏิชีวนะและสารเคมีตกค้างที่จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค รวมถึงให้ความใส่ใจครอบคลุมในเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือของเสียที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2565

อธิบดีกรมวิชาการเกษตรจับมือผู้ว่าจันทบุรี ลงพื้นที่ลุยปราบทุเรียนอ่อนเตรียมความพร้อมส่งออกทุเรียน ภาคตะวันออก ฤดูกาลผลิตปี 65 ชูปลอดศัตรูพืชและโควิด เบื้องต้นยึดของกลาง 3 ตัน พร้อมเตรียมดำเนินคดีตามกฎหมายและเพิกถอนใบรับรอง

 


วันที่ 14 มีนาคม  2565 นายระพีภัทร์  จันทรศรีวงศ์  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  พร้อมด้วยนายสุธี  ทองแย้ม  ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี พร้อมกับแถลงข่าวการจับกุมและดำเนินคดีตัดทุเรียนไม่ได้คุณภาพ(อ่อน) เพื่อการส่งออก ณ สถานีตำรวจภูธรท่าใหม่   


ทั้งนี้นายระพีภัทร์  จันทรศรี เปิดเผยว่าทางเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเบาะแสจากพลเมืองดีมีล้งทุเรียนแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรีมีการรับซื้อทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) เพื่อนำส่งออกไปจำหน่ายที่ประเทศจีน  ชุดเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพ จังหวัดจันทบุรี  จึงได้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบล้งทุเรียนตามที่ได้รับแจ้งซึ่งพบว่าเป็นโรงงานที่ได้ขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตสินค้าพืชกับกรมวิชาการเกษตรตรวจสอบพบทุเรียนอ่อนในโรงคัดบรรจุดจำนวนมากกว่า3ตันจึงดำเนินคดีต่อไป 


นอกจากจะมีการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญาที่ระบุในคำสั่งจังหวัดจันทบุรีแล้ว ในส่วนของกรมวิชาการเกษตรก็จะมีการดำเนินการกับเกษตรกรและโรงคัดบรรจุที่ขึ้นทะเบียน โดยเกษตรกรเจ้าของผลผลิตทุเรียนด้อยคุณภาพที่อายัดไว้  ตรวจสอบแล้ว พบว่าได้รับการรับรอง GAP จาก สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรี (สวพ.6 )กรมวิชาการเกษตร พื้นที่การผลิต จำนวน 3 ไร่ ด้วยหากสืบสวนแล้วปรากฏว่ามีเจตนาให้ตัดผลผลิตไม่ได้คุณภาพ หรือเพิกเฉยไม่คัดค้านการนำผลผลิตที่ไม่ได้คุณภาพของตนออกสู่ท้องตลาด  เกษตรกรผู้ได้รับการรับรองไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรองแหล่งผลิต GAP พืช เจ้าหน้าที่จะเสนอข้อมูลเสนอต่ออธิบดีหรือผู้ได้รับมอบหมาย  มีอำนาจสั่งพักใช้ใบรับรอง หรือ เพิกถอน ใบรับรอง GAP ซึ่งในส่วนของโรงคัดบรรจุก็จะมีการดำเนินการเช่นเดียวกันภายใต้ประกาศกรมวิชาการเกษตรเรื่อง การขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตสินค้าพืช 


อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายหลักที่จะผลักดันและสนับสนุนให้การส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศมีความคล่องตัวและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน  ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่นางสาวมนัญญา  ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะที่กำกับดูแลกรมวิชาการเกษตรได้มอบหมายให้ลงพื้นที่พร้อมด้วยนายภัสชญภณ  หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร  เพื่อติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานการส่งออกผลไม้ภาคตะวันออกฤดูกาลผลิตปี 2565 โดยเฉพาะทุเรียนซึ่งกำลังมีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดในขณะนี้  เนื่องจากกรมวิชาการเกษตรมีภารกิจหลักในการตรวจสอบศัตรูพืชไม่ให้ติดปนเปื้อนไปกับผลผลิตที่จะส่งออก รวมทั้งปัจจุบันจีนยังได้กำหนดมาตรการเพิ่มเติมให้เข้มงวดตรวจสอบป้องกันไม่ให้มีเชื้อไวรัสโควิด-19 ปนเปื้อนไปกับผลผลิตด้วย

ในด้านการป้องกันทุเรียนด้อยคุณภาพหรือทุเรียนอ่อนไม่ให้มีการลักลอบส่งออกเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร ได้กำชับให้กรมวิชาการเกษตรกำกับดูแลคุณภาพและมาตรฐานป้องกันไม่ให้มีสินค้าด้อยคุณภาพหรือทุเรียนอ่อนหลุดรอดไปถึงผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ 


   "กรมวิชาการเกษตร ได้มอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่คือ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรีให้ความร่วมมือดำเนินการป้องกันและตรวจสอบร่วมกับจังหวัดจันทบุรี ตามประกาศการกำหนดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียน โดยใช้ค่ามาตรฐานเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนตามมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องทุเรียนซึ่งระบุว่า ทุเรียนพันธุ์กระดุม ไม่น้อยกว่า 27 % พันธุ์ชะนีและพันธุ์พวงมณี ไม่น้อยกว่า30% และพันธุ์หมอนทองไม่น้อยกว่า 32% ถ้าเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่านี้ ถือว่าเป็นทุเรียนอ่อนขอเน้นย้ำว่าทางกระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญกับคุณภาพมาตรฐานการส่งออก  จึงขอความร่วมมือให้เกษตรกรและผู้ประกอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการส่งออกของประทศคู่ค้าอย่างเคร่งครัด ด้วย" อธิบดีกรมวิชาการกล่าว