วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2565

สัตวแพทย์ ย้ำระบบการเลี้ยงปลาทับทิมมีมาตรฐาน ปลอดภัย ใส่ใจสัตว์-ผู้บริโภค-สิ่งแวดล้อม


สัตวแพทย์ ม.เกษตร แนะ “ปลา” เป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยง่าย อุดมด้วยกรดไขมันชนิดดี แร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญ ระบบการเลี้ยงในปัจจุบันมีการทำเทคโนโลยีทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด พร้อมปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อให้สัตว์มีความสุขกาย สบายใจ ย้ำผู้บริโภคมั่นใจคุณภาพเนื้อปลาปราศจากยาปฏิชีวนะและสารเคมีตกค้าง ปลอดภัย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

อ.สพ.ญ.ดร.ปริญทิพย์ วงศ์ไทย ภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ผนวกกับความต้องการบริโภคอาหารที่ดีเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดตามเทรนด์ใส่ใจสุขภาพ จึงส่งผลให้ผู้ประกอบการหรือเกษตรกรผู้เลี้ยงมีการพัฒนารูปแบบ และวิธีการเลี้ยงตามระบบมาตรฐาน คำนึงถึงสุขภาพสัตว์ มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม


ปลาทับทิมเริ่มมีการเลี้ยงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ภายหลังจากมีการพัฒนาสายพันธุ์จากปลานิลดำเพื่อให้สามารถเลี้ยงได้ในพื้นที่เค็ม มีรูปร่าง สีสัน รวมถึงรสชาติที่ถูกปากผู้บริโภค เดิมทีระบบการเลี้ยงปลาทับทิมเป็นการเลี้ยงระบบเปิด บ่อดิน ไม่มีระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้ปลาทับทิมได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น เกษตรกรจึงเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดการระบบการเลี้ยงอย่างมีมาตรฐาน

ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ อาทิ นวัตกรรม In-Pond Raceway System (IPRS), Recirculating aquaculture systems (RAS) หรือ Biofloc system ซึ่งเป็นระบบการเลี้ยงปลาในระบบปิด มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการใช้พื้นที่ ลดข้อจำกัดด้านการจัดการคุณภาพน้ำ การให้อาหาร การควบคุมโรค การจัดการของเสีย รวมถึงการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลาในประเทศไทยสู่ตลาดโลก

อ.สพ.ญ.ดร.ปริญทิพย์ ระบุว่า ในการจัดตั้งฟาร์มเลี้ยงปลาต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมง และปฏิบัติตามระบบมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ดี (Good Aquaculture Practice; GAP) เพื่อให้ระบบการเลี้ยงมีความยั่งยืน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม กรมประมง และ/หรือ มกอช. มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานประกอบไปด้วย 1) สถานที่ต้องมีความเหมาะสม 2) การจัดการฟาร์มที่ดี ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3) อาหาร วิตามิน ต้องปราศจากการปนเปื้อนของยาและสารต้องห้ามในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กระบวนการถูกสุขอนามัยปลอดภัยต่อสัตว์น้ำและผู้บริโภค 4) เกษตรกรต้องมีความรู้และเข้าใจเมื่อเกิดปัญหาการติดเชื้อในสัตว์น้ำ สามารถจัดการลดความรุนแรงโรคได้ 5) ให้ความสำคัญในการจัดการสุขอนามัยฟาร์ม ด้านการปนเปื้อนเชื้อจากขยะสิ่งปฏิกูล หรือสิ่งขับถ่ายที่อาจปนเปื้อนลงสู่บ่อเลี้ยงได้ 6) การจับและการขนส่งที่ดีจะช่วยทำให้สัตว์น้ำมีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย 7) มีการเก็บข้อมูลการเลี้ยง การให้อาหาร การตรวจสุขภาพ การใช้ยาและสารเคมีอย่างสม่ำเสมอ 

นอกจากนี้ อ.สพ.ญ.ดร.ปริญทิพย์ ย้ำว่า ผู้ประกอบการและเกษตรกรต้องให้ความสำคัญในทุกระบวนการตั้งแต่การเลี้ยง การจัดการฟาร์ม การขนส่ง การทำให้เสียชีวิต รวมถึงการจำหน่ายไปยังผู้บริโภค ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานกำหนด ดำเนินกิจกรรมต่างๆภายใต้หลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ที่มีความสำคัญอย่างมากในวงการเลี้ยงสัตว์ปัจจุบัน เช่น มีพื้นที่กว้างขวางพอที่สัตว์จะสามารถแสดงพฤติกรรมอย่างอิสระ ให้อาหารอย่างเพียงพอ มีการควบคุมป้องกันโรคไม่ให้สัตว์เจ็บป่วย ไม่เครียด ในอีกแง่มุมผู้เลี้ยงควรมองว่า สัตว์ที่เราเลี้ยงนั้นให้คุณประโยชน์มากมาย นอกจากสร้างรายได้แล้ว ยังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญให้มนุษย์เราได้ดำรงชีวิตเพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ที่มีคุณค่า จึงต้องให้ความสำคัญ ตระหนัก ใส่ใจสุขภาพสัตว์ที่เราเลี้ยงอย่างดีที่สุด


สุดท้ายอยากให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าระบบการเลี้ยงปัจจุบันมีมาตรฐาน ระบบการจัดการฟาร์มที่มีการควบคุม ตรวจติดตาม ทำให้มั่นใจในคุณภาพเนื้อได้ว่าปราศจากยาปฏิชีวนะและสารเคมีตกค้างที่จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค รวมถึงให้ความใส่ใจครอบคลุมในเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือของเสียที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น