วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ซีพีเอฟ ประมงเพชรบุรี และเรือนจำกลางเพชรบุรี นำภูมิปัญญาท้องถิ่นทำน้ำปลาจากปลาหมอคางดำ ตรา “หับเผย เขากลิ้ง”


สำนักงานประมงจังหวัดเพชรบุรี ร่วมมือกับเรือนจำกลางเพชรบุรี และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ดำเนินโครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำปลาจากปลาหมอคางดำตรา “หับเผย เขากลิ้ง” โดยบูรณาการกับกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” จับปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและนำมาหมักเป็นน้ำปลาเพิ่มมูลค่าสินค้าประจำครัวเรือนคนไทย โดยเชิญปราชญ์ชาวบ้านชาวเพชรบุรีมาช่วยถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างทักษะอาชีพให้กับผู้ต้องราชทัณฑ์ของเรือนจำกลางเพชรบุรี เป็นการส่งเสริมการบริโภค และการจัดการปัญหาปลาหมอคางดำอย่างเป็นระบบ

นายชูศักดิ์ โต๊ะถม ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาผู้ต้องขัง เป็นตัวแทนนายมิตรารุณห์ พรหมอินทร์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเพชรบุรี ร่วมกับ นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี และตัวแทนของซีพีเอฟ ดำเนินโครงการกิจกรรมบูรณาการช่วยเหลือสังคมกำจัดปลาหมอคางดำ (ในรูปแบบ CSR) “ลงแขกลงคลอง แปรรูปผลิตภัณฑ์ น้ำปลาหับเผย เขากลิ้ง" ณ เรือนจำชั่วคราวเขากลิ้ง โดยมีนายจิตรกร บัวดี เกษตรกรผู้ผลิตน้ำปลาจากปลาหมอคางดำ ตรา “ชาววัง” เป็นวิทยากรให้ความรู้ในภาคทฤษฎี และภาคปฎิบัติแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ 20 คน เรียนรู้การนำปลาหมอคางดำ 370 กิโลกรัมมาหมักน้ำปลาทุกขั้นตอน

นายตรารุณห์ พรหมอินทร์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเพชรบุรี กล่าวว่า การบูรณาการความร่วมมือของ 3 องค์กร ระหว่างเรือนจำกลางเพชรบุรี ประมงจังหวัดเพชรบุรี และซีพีเอฟ จัดโครงการกิจกรรมบูรณาการช่วยเหลือสังคมกำจัดปลาหมอคางดำ “ลงแขก ลงคลอง แปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำปลาตรา “หับเผย เขากลิ้ง” โดยได้รับการสนับสนุนปลาหมอคางดำจากประมงจังหวัดเพชรบุรี และมีซีพีเอฟช่วยสนับสนุนอุปกรณ์และเชิญเกษตรกรที่เป็นปราชญ์พื้นบ้านมาเป็นวิทยากรให้ความรู้การผลิตน้ำปลาจากปลาหมอคางดำให้กับผู้ต้องราชทัณฑ์ได้มีทักษะติดตัวนำไปประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงดูตัวเองได้ในอนาคต เนื่องจาก น้ำปลาเป็นเครื่องปรุงของคนไทยที่ทุกครัวเรือนต้องมี และเรือนจำกลางเพชรบุรียังต่อยอดทำ น้ำปลา ตรา “หับเผย เขากลิ้ง” ส่งเสริมคนไทยได้บริโภคอาหารจากปลาหมอคางดำได้กว้างขวางขึ้น นำไปสู่การจัดการปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาความหลากหลายในระบบนิเวศ โครงการนี้ก่อให้เกิดประโยชน์ไม่เพียงแต่ผู้ต้องราชทัณฑ์เท่านั้น หากยังเป็นประโยชน์ต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกระทรวงยุติธรรม

นายจิตรกร บัวดี ปราชญ์ชาวบ้านผลิตน้ำปลาจากปลาหมอคางดำ ตรา “ชาววัง” ผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้การนำปลาหมอคางดำแปรรูปเป็นน้ำปลา กล่าวว่า ในทุกปัญหามีทางออก ปลาหมอคางดำมีประโยชน์และบริโภคได้ การแปรรูปหรือเพิ่มมูลค่าปลาหมอคางดำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อส่งเสริมการบริโภคอย่างกว้างขวาง มีส่วนช่วยจัดการปลาหมอคางดำได้อย่างครบวงจร  การถ่ายทอดองค์ความรู้ของภูมิปัญญาชาวบ้านสู่คนรุ่นใหม่  สำหรับการสอนผู้ต้องราชทัณฑ์นับเป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกทำกับเรือนจำกลางสมุทรสงคราม ไม่เพียงได้ผลิตภัณฑ์น้ำปลา มีส่วนช่วยลดปริมาณปลาหมอคางดำ ความรู้ที่ถ่ายทอดจะช่วยเพิ่มทักษะให้ผู้ต้องราชทัณฑ์ติดตัวนำไปประกอบอาชีพในอนาคต สร้างรายได้ให้ครัวเรือน และสามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญ คือ ประชากรปลาหมอคางดำลดลง 

ด้านนายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า สถานการณ์ปลาหมอคางดำในพื้นที่เพชรบุรีตอนนี้พบว่ามีปริมาณเบาบางลง เป็นผลจากการบูรณาการกับทุกภาคส่วนดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำอย่างจริงจัง อาทิ การทำกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” จับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง การรับซื้อส่งขายให้โรงงานปลาป่นในจังหวัดสมุทรสาคร การรับซื้อเพื่อนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพ จนถึงปัจจุบันสามารถจับปลาหมอคางดำได้กว่า 157,000 กิโลกรัมแล้ว การสร้างแรงจูงใจนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ ผ่านการส่งเสริมผู้ประกอบการหรือวิสาหกิจชุมชนร่วมนำปลาหมอคางดำหมักปลาร้า ซึ่งมีชุมชนสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 4 กลุ่ม และร่วมกับสถานีพัฒนาที่ดินเพชรบุรีนำปลาหมอคางดำมาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพ  นอกจากนี้ การปล่อยปลาผู้ล่า ที่ผ่านมาปล่อยปลากะพงขาว ได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ 10,500 ตัว ลงสู่แหล่งน้ำ 15 แห่ง และปล่อยปลาอีกงจำนวน 50,000 ตัวลงในแหล่งน้ำ 2 แห่ง

สำหรับความร่วมมือกับเรือนจำกลางเพชรบุรีครั้งนี้นับเป็นการต่อยอดภูมิปัญญาของเกษตรกรในจังหวัดเพชรบุรีให้กับเจ้าหน้าที่ และผู้ต้องราชทัณฑ์ของเรือนจำกลางเพชรบุรี โดยตั้งเป้าหมายจับปลาหมอคางดำส่งมอบให้เรือนจำกลางได้ 5,000 กิโลกรัม สำหรับหมักเป็นน้ำปลาได้ประมาณ 8,000 ขวด ประมงเพชรบุรียังดำเนินการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ การจัดกิจกรรมลงแขกลงคลอง ซึ่งเป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ช่วยรณรงค์ให้พี่น้องได้เห็นความสำคัญและความต่อเนื่องของความตั้งใจจัดการปัญหาปลาหมอคางดำของทุกภาคส่วน

นอกจากนี้ ประมงจังหวัดเพชรบุรียังมีแผนที่จะจัดตั้งอาสาสมัครเฝ้าระวังปลาหมอคางดำในทุกอำเภอ  รวมถึงการพัฒนากลไกที่ช่วยให้เกิดการจัดการปลาหมอคางดำมีประสิทธิภาพ  ลดการพึ่งพางบประมาณของรัฐบาล ด้วยการสนับสนุนกลุ่มชาวบ้านนำปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็นสินค้าประจำชุมชน อาทิ ปลาแดดเดียว น้ำปลา ปลาร้า และน้ำหมักชีวภาพ นำรายได้จากการจำหน่ายสินค้าหมุนเวียนมารับซื้อปลาหมอคางดำ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนอย่างเป็นระบบและยั่งยืน





วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2567

กรมการค้าภายในร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย ออกบูธในงาน Thailand Rice Fest 2024 หวังคนไทยหันมาบริโภคข้าวมากขึ้น

 


กรมการค้าภายในร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย ออกบูธในงาน Thailand Rice Fest 2024 

เทศกาลที่ชวนทุกคนมาร่วมเรียนรู้และเพิ่มมูลค่าให้ข้าวผ่านประสบการณ์แบบใหม่และสร้างสรรค์ ที่ครบเครื่องยิ่งกว่าเดิม ให้ทุกคนได้รู้จัก 'ข้าวไทย' ในมิติใหม่ที่ไม่เคยคาดคิด

โดยคุณกฤชธนา ทองประเสริฐ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 1 กรมการค้าภายใน กล่าวว่า งานThailand Rice Fest 2024  มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ร่วมงานตระหนักถึงความสำคัญของข้าวมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหวังว่างานงานThailand Rice Fest 2024 จะช่วยยกระดับวงการข้าวไทยทั้งการเพิ่มมูลค่า ไปจนถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เรื่องข้าวที่มากยิ่งขึ้น 

ขณะที่คุณยงยุทธ พฤกษ์มหาดำรง นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า การจัดงานดังกล่าว เพื่อต้องการให้ความรู้ ความเข้าใจ ทั้งคนรุ่นใหม่ คนในเมือง ให้เกิดความเข้าใจในการบริโภคข้าวมากยิ่งขึ้น เพราะบางส่วนยังมีความคิดที่ว่ากินข้าวและทำให้อ้วน แต่ความจริงแล้วข้าวเปลี่ยนเป็นพลังงาน ที่ให้ประโยชน์ไม่ได้ทำให้อ้วน 

ส่วนภาพรวมของตลาดข้าวถุง เติบโตขึ้นทุกปี2-3% ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงหันมาบริโภคข้าวสารบรรจุถุง  ได้รับความนิยมทั้งพันธ์ข้าวหอม ข้าวนุ่ม ซึ่งหากตลาดขยายขึ้น ย่อมส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมข้าวไทยและที่สำคัญส่งผลดีต่อชาวนาไทย

สำหรับงาน Thailand Rice Fest 2024 จัดขึ้นรหว่างวันที่ 12-15 ธันวาคม 2567  ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 6 



รองเลขาธิการ ส.ป.ก. ร่วมงานแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 3 เดือน “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง”



     วันที่ 12 ธันวาคม 2567 นายสุรชัย ยุทธชนะ รองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้ร่วมงานแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 3 เดือนและการมอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” นำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ อาคารศูนย์ปฏิบัติการแพร่ภาพออกอากาศการกระจายเสียงวิทยุและการให้บริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) กรมประชาสัมพันธ์ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ โดยมี คณะรัฐมนตรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมงานแถลงผลการดำเนินงานโดยพร้อมเพรียงกัน

     ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ผลงานของรัฐบาลแพทองธาร เป็นผลงานที่ต่อเนื่องมาจากการบริหารงานของอดีตนายกรัฐมนตรีนายเศรษฐา ทีวีสี    วันนี้รัฐบาลแพทองธารได้ทำงานผ่านความร่วมมือของคณะรัฐมนตรีและพี่น้องข้าราชการ เพื่อพี่น้องประชาชนมาแล้ว 90 วันเต็ม ทำให้วันนี้ “ทุกคนคือทีมเดียวกัน”  และจะร่วมกันเดินไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ วางรากฐานของประเทศไทยในทศวรรษหน้า ให้คนไทยมีกิน-มีใช้-มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี ประเทศไทยในปี 2568 จะเป็นปีแห่ง “โอกาส” รัฐบาลจะสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างอนาคตที่เป็นจริง

    นโยบายแรก คือ การแก้ไขปัญหา “น้ำท่วม-น้ำแล้ง”  น้ำต้องเพียงพอสำหรับการอุปโภค บริโภค เกษตร และอุตสาหกรรม ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการทั้งระยะสั้น-กลาง-ระยะยาว   รวมทั้งการศึกษาแนวทางที่จะอนุญาตให้ประชาชนขุดลอกคูคลองแล้วนำดินไปใช้หรือขายได้ และให้มีการศึกษาโครงการ Floodway และโครงสร้างขนาดใหญ่ที่จะแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย


    นโยบายต่อมาคือเรื่องปัญหา “หมอกควัน”  นายกรัฐมนตรีประกาศ KPI ว่า PM 2.5 จะต้องลดน้อยลง ทั้งในแง่ปริมาณฝุ่นและตัวเลขประชาชนที่ป่วยจากฝุ่น ต้องลดลงทุกปี 

    ปัจจุบันรัฐบาลได้ควบคุมการเผาในประเทศ การเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านให้ลดการเผา และการออกกฎหมาย พ.ร.บ. อากาศสะอาด เช่นเดียวกับเรื่องยาเสพติด ที่จะต้องมีมาตรการที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

   


  ประเด็นต่อมา รัฐบาลจะนำธุรกิจใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดินและกำกับให้ถูกกฎหมาย คาดว่าธุรกิจใต้ดินมีมูลค่ากว่า 49% ของ GDP ไทย การแก้ปัญหานี้จะทำให้รัฐบาลปกป้องประชาชนได้และยังเป็นรายได้ของรัฐบาลด้วย ในเรื่องเทคโนโลยี และ AI รัฐบาลไทยตั้งเป้าจะเป็น AI Hub ของภูมิภาค เนื่องจากในปัจจุบัน มีบริษัทใหญ่มาลงทุนทำศูนย์ข้อมูล (Data center) เป็นเงินลงทุนมากกว่าล้านล้านบาทแล้ว


     ในส่วนของนโยบายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการนำนโยบาย “หนึ่งอำเภอ หนึ่งทุน” หรือ ODOS กลับมาอีกครั้ง โดยใช้งบประมาณจากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งมีโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ไปฝึกภาษาที่ต่างประเทศเป็นเวลาสั้นๆ ในโครงการ “1 อำเภอ 1 ซัมเมอร์แคมป์” และโครงการอัพเกรดโรงเรียนประจำอำเภอ ทำให้เป็นโรงเรียนต้นแบบ เติมครู เติมเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษา และ AI ให้เด็ก ๆ ในทุกอำเภอ และให้โอกาสคนทุกตำบลหมู่บ้านในการคิดและลงมือแก้ไขปัญหาในพื้นที่ผ่านโครงการ SML ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่จะกระจายโอกาสและเงินลงไปในทุกหมู่บ้าน พร้อมกับกองทุนเพื่อฟื้นฟู SME ซึ่งเป็นฐานรากของเศรษฐกิจไทยอีกกว่า 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” (Public Housing) คอนโดคุณภาพดีพร้อมเฟอร์นิเจอร์พร้อมอยู่ เริ่มต้นประมาณ 30 ตารางเมตร ผ่อนเดือนละประมาณ 4,000 บาท เป็นเวลาประมาณ 30  ปี และให้สิทธิอยู่อาศัย 99 ปี ที่จะเป็นความหวังของคนไทยที่อยากมีบ้าน ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีประกาศว่า จะดำเนินโครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 โดยเงินสดจะถึงมือผู้สูงอายุประมาณ 4 ล้านราย  ไม่เกินช่วงตรุษจีนนี้  หลังจากนั้น จะดำเนินการระยะที่ 3 สำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องพร้อมกับยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัล


    นโยบายสุดท้ายที่แถลง คือ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเน้นที่หนี้  “รถยนต์”  และ “บ้าน” โดยธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคาร ตกลงที่จะลดการส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูลง 0.23% ซึ่งเป็นเงินกว่า 39,000 ล้านต่อปี และธนาคารพาณิชย์จะเติมให้อีก 39,000 รวมกันเป็น 78,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อพักดอกเบี้ย 3 ปี ให้ลูกหนี้จ่ายคืนเงินต้นได้เต็มจำนวน โดยจะเริ่มดำเนินการในต้นปี 2568 พร้อมมาตรการประนอมหนี้แบบพิเศษที่จะล้างหนี้ให้ทั้งหมด สำหรับลูกหนี้มูลหนี้ต่ำกว่า 5,000 บาท

 

     สุดท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวกับรองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและข้าราชการว่า นักการเมืองและข้าราชการ ต่างมาจากภาษีของประชาชน เราต่างมีหัวใจเดียวกัน คือ การทำงานเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน การทำให้ประเทศไทยดีขึ้น วันนี้...อยากให้เพื่อนข้าราชการทุกท่านยึดคติในใจว่า หลังจากนี้ จะเป็นปีแห่งการสร้าง “People Empowerment” เพิ่มอำนาจประชาชน ลดอำนาจเรา หรือการลดและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ส. กุ้งไทย เผยผลผลิตกุ้งไทยปี 2567 ลดลง จากปัญหาโรคระบาด ราคากุ้งตกต่ำ ขอ 2,000 ล้าน แก้ปัญหาอุตสาหกรรมกุ้ง


ส. กุ้งไทย เผยผลผลิตกุ้งไทยปี 2567 ลดลง จากปัญหาโรคระบาด ราคากุ้งตกต่ำ ขอ 2,000 ล้าน แก้ปัญหาอุตสาหกรรมกุ้ง 

ชมรัฐฯ ประกาศแก้ปัญหากุ้งทะเลเป็นวาระแห่งชาติ เร่งแก้ปัญหาโรคอย่างเป็นรูปธรรมใน 3 ปี เพื่อกลับมาผลิตกุ้งไทยคุณภาพสูง 400,000 ตัน สู้ตลาดโลก 

วันนี้ (11 ธันวาคม 2567) นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย นำทีมคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ประกอบด้วย นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ที่ปรึกษาสมาคม และประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย นายปกครอง เกิดสุข อุปนายกสมาคมฯ และประธานที่ปรึกษาชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดกระบี่ นายปรีชา สุขเกษม อุปนายกสมาคมฯ และนายพิชญพันธุ์ สลิลปราโมทย์ กรรมการบริหารสมาคมกุ้งไทยและประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี กล่าวถึงสถานการณ์กุ้งของไทย ปี 2567 ว่า ผลผลิตกุ้งเลี้ยงโดยรวม อยู่ที่  270,000  ตัน ลดลงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาโรคระบาด สภาพอากาศแปรปรวน กระทบคุณภาพลูกกุ้ง และการเลี้ยงของเกษตรกร ราคากุ้งตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรบางส่วนชะลอการลงกุ้ง ชื่นชมรัฐบาล และกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งได้ประกาศนโยบายการแก้ไขปัญหากุ้งทะเลเป็นวาระแห่งชาติ เสนอของบ 2,000 ล้าน แก้ปัญหากุ้งทั้งระบบ เน้นแก้ปัญหาโรคกุ้งอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้ภายใน 3 ปี หยุดความเสียหายกว่า 600,000 ล้าน เพิ่มผลผลิตกุ้งคุณภาพ 400,000 ตัน ทวงคืนมูลค่าการส่งออก 50,000 ล้าน กลับเข้าประเทศ

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตกุ้งของไทยปี 2567 ว่า ปริมาณผลผลิตกุ้งคาดว่าจะได้ประมาณ 270,000 ตัน ลดลงร้อยละ 4 จากปีที่แล้ว เป็นผลผลิตกุ้งจากภาคใต้ตอนบน ร้อยละ 37  ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอันดามัน ร้อยละ 23 จากภาคตะวันออก ร้อยละ 20  จากภาคกลาง ร้อยละ 10  ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย ร้อยละ 10 ส่วนผลผลิตกุ้งทั่วโลกคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ  5.04 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 4 โดยผลผลิตจากประเทศผู้ผลิตหลักทั้งจีน เอกวาดอร์ อินเดีย เวียดนาม ลดลงทุกประเทศ

 


ส่วนการส่งออกกุ้งเดือน ม.ค. – ต.ค. ปีนี้อยู่ที่ปริมาณ 109,048  ตัน มูลค่า 33,954 ล้านบาท ปริมาณลดลง ร้อยละ 1 ส่วนมูลค่าลดลง ร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่ส่งออกปริมาณ 109,663  ตัน มูลค่า 36,284 ล้านบาท”

นายบรรจง  นิสภวาณิชย์ ที่ปรึกษาสมาคม และประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กล่าวถึงสถานการณ์การเลี้ยงกุ้งภาคตะวันออกคาดการณ์ผลผลิตประมาณ 53,900 ตัน คิดเป็นร้อยละ 20 ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 20 เนื่องจากเกษตรกรปล่อยกุ้งลดลง และชะลอการลงกุ้ง ปัญหาโรคระบาด EHP ตัวแดงดวงขาว และโรคตายด่วน อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายปีเกษตรกรเริ่มลงกุ้งต่อเนื่องเพราะราคาจูงใจ  สำหรับสถานการณ์การเลี้ยงกุ้งภาคกลางผลผลิตประมาณ 26,900 ตัน คิดเป็นร้อยละ 10 ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ ลดลงร้อยละ 19 ช่วงไตรมาสแรกการเลี้ยงดี แต่ไตรมาสที่สองและสาม ประสบปัญหาโรคขี้ขาว และสภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้อัตรารอดต่ำ ลูกกุ้งไม่เพียงพอ ราคากุ้งค่อนข้างดี โดยเฉพาะตลาดในประเทศ ส่งผลให้เกษตรกรมีการเตรียมตบ่อเพื่อลงกุ้งมากขึ้น 

นายปกครอง  เกิดสุข อุปนายกสมาคมกุ้งไทย และประธานที่ปรึกษาชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดกระบี่ เปิดเผยถึงสถานการณ์การเลี้ยงกุ้งภาคใต้ตอนล่างฝั่งอันดามัน คาดการณ์ผลผลิตประมาณ 61,100 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 7 โดยมีความเสียหายจากโรคตัวแดงดวงขาวในช่วงเปลี่ยนฤดู และปัญหาเชื้อโรคปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ เกษตรกรมีการวางแผนการเลี้ยงโดยลดความหนาแน่น เพื่อลดความเสี่ยงการเลี้ยงช่วงปลายปี บางส่วนเปลี่ยนไปเลี้ยงกุ้งกุลาดำ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องโรค  

นายปรีชา  สุขเกษม อุปนายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวถึงผลผลิตกุ้งภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย ปริมาณ 28,400 ตัน คิดเป็นร้อยละ 10 ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ ลดลงร้อยละ 2 ปัญหาหลักคือ ปัญหาโรคระบาด โดยเฉพาะขี้ขาว และ EHP ทำให้เกษตรกรต้องจับกุ้งก่อนกำหนด และสภาพอากาศแปรปรวนส่งผลให้การเลี้ยงกุ้งยากขึ้น เกษตรกรต้องปรับตัวโดยการพักบ่อนานขึ้น ลดความหนาแน่นในการเลี้ยงกุ้งเพื่อลดความเสี่ยง

นายพิชญพันธุ์   สลิลปราโมทย์ กรรมการบริหารสมาคม และประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี กล่าวถึงผลผลิตกุ้งพื้นที่ภาคใต้ตอนบนประมาณการผลผลิต 99,700 ตัน คิดเป็นร้อยละ 37  ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 โดยเกษตรกรลงกุ้งเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาเนื่องจากราคากุ้งปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศแปรปรวนส่งผลให้การเลี้ยงยากขึ้น และพบเชื้อในแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้เกษตรกรให้ความสำคัญกับระบบการป้องกันโรคมากขึ้น”

“ความเสียหายที่อุตสาหกรรมเผชิญมาตลอดสิบกว่าปี จากปัญหาโรคระบาด EMS หรือโรคตายด่วน ตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรพยายามทุ่มเททุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง และความช่วยเหลือจากกรมประมง แต่ยังไม่สามารถก้าวผ่านปัญหาโรคระบาดได้ สิ่งที่ภาครัฐต้องทำอย่างเร่งด่วน และเป็นข้อเสนอของพันธมิตรผู้เลี้ยงกุ้งไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของ 19 องค์กรเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ที่มีมติร่วมกันในการยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงเกษตรฯ และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้รับการตอบรับจากกระทรวงฯ โดยได้มีการประกาศยกระดับเรื่องการแก้ปัญหากุ้งทะเลเป็นวาระแห่งชาติ เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่ทำให้ผมเริ่มมีความหวังว่าจะเห็นผลการดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรม โดยพันธมิตรผู้เลี้ยงกุ้งไทยเสนองบประมาณสำหรับการแก้ปัญหาอุตสาหกรรมกุ้ง 2,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเรื่องโรคกุ้งภายในสามปี เพื่อหยุดความเสียหายประมาณ 600,000 ล้าน ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เพื่อเอา 50,000 ล้านกลับมา 

สิ่งที่เกษตรกรเรียกร้อง และรัฐบาลต้องช่วยเหลือเพราะวันนี้เกินกำลังของพวกเราแล้วคือ การแก้ปัญหาเรื่องโรคให้ได้ โดยรัฐต้องมีมาตรการในการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เพื่อแก้ปัญหาโรคให้ได้ภายใน 3 ปี ซึ่งหากรัฐบาลทำเรื่องนี้สำเร็จ เกษตรกรจะสามารถบรรลุเป้าหมายผลผลิต 400,000 ตัน ซึ่งเป็นผลผลิตคุณภาพสูง เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และเป็นอุตสาหกรรมการเกษตรหลักสำคัญที่ทำรายได้กลับคืนมาให้กับประเทศได้อีกครั้งอย่างแน่นอน ” นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าว 



วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ประสานพลัง...ประมงพัทลุง-ประมงสงขลาเดินหน้าเฝ้าระวังปลาหมอคางดำ ปกป้องทะเลสาบสงขลาเข้มแข็ง

 

ประมงจังหวัดสงขลา และ ประมงจังหวัดพัทลุง ตระหนักถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่ประมงทั้งสองจังหวัดลงพื้นที่ดูแลเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และชาวประมงพื้นบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย พร้อมกับตรวจติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลา สร้างการรับรู้ และร่วมมือกับชาวประมงพื้นบ้านจัดชุดปฏิบัติการสำรวจปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลาหลังน้ำท่วมคลี่คลาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นวาไม่พบปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลา 

นายภูษิต จันทร์เพชร ประมงจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ประมงจังหวัดพัทลุงตระหนักดีถึงความกังวลใจของประชาชนและชาวประมงพื้นบ้านว่าสถานการณ์น้ำท่วมอาจเป็นปัจจัยให้เกิดการพัดพาปลาหมอคางดำลงสู่ทะเลสาบสงขลา โดยฝั่งจังหวัดพัทลุงได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ประมงบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดดูแลเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้ว พร้อมกับประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักว่ามีโอกาสที่ปลาหมอคางดำหลุดเข้าทะเลสาบสงขลา ประมงจังหวัดจัดชุดปฏิบัติการสำรวจปลาหมอคางดำ และขอความร่วมมือกับชาวประมงพื้นบ้านช่วยกันสอดส่องในพื้นที่บริเวณทะเลสาบสงขลา หากพบให้ดำเนินการตามมาตรการ “เจอ แจ้ง จับ จบ” ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งพบปลาหมอคางดำในทะเลสาบสงขลา  

ก่อนหน้านี้ในช่วงฝนตกชุก ประมงจังหวัดพัทลุงปล่อยลูกพันธุ์ปลากะพงขาวขนาด 4 นิ้ว จำนวน 8,000 ตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงในแหล่งน้ำที่พบปลาหมอคางดำ รวมทั้งแหล่งน้ำที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบสงขลา เป็นรอยต่อกับอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เป็นการสร้างแนวกันชนเชิงป้องกันหากมีปลาหมอคางดำหลุดเข้ามาในช่วงที่น้ำหลาก ขณะเดียวกัน ปลากะพงขาวยังเป็นปลาเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชาวประมงพื้นบ้าน เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมในการติดตามเฝ้าระวังปลาหมอคางดำอีกทางหนึ่ง

ด้านจังหวัดสงขลา นายเจริญ โอมณี ประมงจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัยครอบคลุมหลายอำเภอ ประมงจังหวัดได้ส่งเจ้าหน้าที่กองตรวจการประมงออกปฏิบัติหน้าที่เพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พร้อมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและอาสาสมัครตั้งจุดประกอบอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสัตว์น้ำชายฝั่ง รวมทั้งแจกจ่ายอาหารปรุงสุก  และน้ำดื่มเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่  

ทั้งนี้ ประมงจังหวัดสงขลาไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องปลาหมอคางดำ โดยร่วมมือกับประมงอำเภอระโนด และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสงขลา ชมรมกุ้งอำเภอระโนด ผู้นำชุมชนเฝ้าระวังแหล่งน้ำในชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยขอความร่วมมือกับผู้นำชุมชนดำเนินการกำจัดปลาหมอคางดำตามมาตรการ “เจอ แจ้ง จับ จบ” พร้อมกับส่งเสริมการนำปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็นอาหาร โดยก่อนเกิดอุทกภัย ประมงอำเภอระโนดร่วมกับซีพีเอฟ ปล่อยปลากะพงขาว ขนาด 4 นิ้ว จำนวน 10,000 ตัว ลงในแหล่งน้ำในพื้นที่อำเภอระโนด เพื่อควบคุมปลาหมอคางดำในพื้นที่และเป็นแนวกันชนป้องกันปลาหมอคางดำขยายวงออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา 


นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ประมงอำเภอระโนดยังได้สนับสนุนกากชาแก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อนำไปกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นแนวทางป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำหลุดออกไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติในช่วงที่ฝนตกชุก ระดับน้ำในลำคลองเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย


ประมงจังหวัดพัทลุงและสงขลาได้ดำเนินการมาตรการเชิงป้องกันการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างเข้มข้น โดยมีการติดตามเฝ้าระวังเป็นประจำ พร้อมกับสร้างการรับรู้ว่าปลาหมอคางดำมีประโยชน์สามารถนำมาใช้บริโภคได้ และใช้ประโยชน์ได้ โดยประมงจังหวัดมีแผนที่จะรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อนำมาทำน้ำหมักชีวภาพเป็นปุ๋ยแจกให้เกษตรกร  รวมทั้งหาแนวทางส่งเสริมจับปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์และจัดการที่เหมาะสมกับพื้นที่  เพื่อควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนรักษาความหลากหลายของระบบนิเวศของทะเลสาบสงขลาอย่างยั่งยืนต่อไป


“5 ทศวรรษส.ป.ก” สุดยิ่งใหญ่ ขนทัพสินค้าเกษตรกรเขตปฏิรูปกว่า 100 ร้านค้าให้คนเมือง ชม ชิม ช้อปจุใจ

              ส.ป.ก. เตรียมจัดงานเฉลิมฉลองก้าวสู่ “5 ทศวรรษ”อย่างยิ่งใหญ่  ขนทัพสินค้า/ผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกร /วิสาหกิจชุมชนเขตปฏิรูปที...