วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2564

วช.-เทศบาลยะลา นำนักวิจัย ม.นเรศวร เก็บตัวอย่างซากเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโสโครก ที่ยะลา หาฮอตสปอตการระบาดโควิด-19 ในชุมชน ล่วงหน้า 2 สัปดาห์

 

เมื่อวันที่ 25 – 26 พฤศจิกายน 2564 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร นำโดย ผศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ ลงพื้นที่ จังหวัดยะลา เก็บตัวอย่างซากเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโสโครก เพื่อทำแผนที่ความเสี่ยงคาดการณ์ผู้ติดเชื้อระดับชุมชนในเทศบาลนครยะลา ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ สำหรับการดำเนินการเชิงรุกตอบโต้การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการสนับสนุนทุนจาก วช. 

ประเทศไทยยังคงอยู่ในระลอกที่ 4 ของการระบาดของเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธ์ุเดลต้า ทำให้โควิด-19 ระลอกนี้หนักหน่วงและรุนแรง  แม้ผู้ติดเชื้อรายวันจะลดลงต่ำกว่า 10,000 รายต่อวันแล้ว แต่ในหลายจังหวัดสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ จำนวนผู้ป่วยไม่ลดลง แม้หน่วยงานที่รับผิดชอบจะดำเนินหลายมาตรการเชิงรุก ในการตรวจหาผู้ติดเชื้อรายบุคคล อีกทั้ง การเปิดประเทศและเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเกิดคลัสเตอร์ใหม่ ๆ และอาจเกิดการระบาดระลอกที่ 5 หากไม่มีการเฝ้าระวังเชิงรุกและการเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) ก่อนที่จะเกิดการติดเชื้อลามจากระดับบุคคลไปยังระดับชุมชน

ผศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า นวัตกรรมการตรวจซากเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโสโครกของชุมชน เป็นเครื่องมือพิเศษในการเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 ในระดับชุมชน รวมถึงสามารถใช้เทคนิคนี้ชี้เป้าฮอตสปอตของโควิด-19 ในระดับอาคาร เพื่อการดำเนินมาตรการตอบโต้ลดการแพร่ระบาดของเชื้อได้อีกด้วย คือ ผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 แม้ยังไม่แสดงอาการ แต่ก็จะหลั่งเชื้อโควิดปริมาณมากออกมาทางอุจจาระ-ปัสสาวะ ทำให้สามารถตรวจเจอการระบาดในระดับชุมชน หรืออาคารได้ โดยการตรวจหากซากเชื้อในน้ำเสียโสโครกรวมของชุมชนหรืออาคารดังกล่าว ทำให้การตรวจ 1 ตัวอย่างน้ำเสียสามารถแทนการเฝ้าระวังการติดเชื้อของคนทั้งอาคาร หรือ ทั้งชุมชน ซึ่งต่างประเทศได้เริ่มใช้แล้ว58ประเทศทั่วโลก โดยไทยได้ใช้งานใน 4 จังหวัดนำร่อง คือ นครสวรรค์ พิษณุโลก ตาก และเชียงใหม่ ภายใต้การประสานความร่วมมือกับเทศบาล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด กรมอนามัยและศูนย์อนามัย พบว่า เทคนิคนี้สามารถระบุชุมชนหรืออาคารที่มีการติดเชื้อได้ไวกว่าการตรวจรายบุคคลประมาณเฉลี่ย 2 สัปดาห์ สู่การใช้ประโยชน์ในเขตเทศบาลนครยะลา เพื่อนำข้อมูลไปทำเป็นแผนที่ความเสี่ยง คาดการณ์ผู้ติดเชื้อระดับชุมชน และเป็นการเตือนภัยล่วงหน้าก่อนการระบาด โดยการประสานงานกับเทศบาลนครยะลา


นักวิจัยได้พัฒนาการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโสโครก โดยใช้เทคนิคทางเลือก LAMP Assay ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการตรวจด้วยเทคนิค RT-qPCR ประมาณ 5 เท่า ซึ่งเทคนิค LAMP เคยนำมาใช้ตรวจตัวอย่างทางจมูกและปากมาแล้ว แต่ยังไม่มีการนำมาใช้กับเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียมาก่อน นักวิจัยจึงเลือกใช้เทคนิคดังกล่าวร่วมกับเทคนิค RT-qPCR เพื่อการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เชิงรุก จากตัวอย่างน้ำเสียโสโครกในสถานที่สุ่มเสี่ยง เช่น โรงเรียน โรงงาน ห้างสรรพสินค้า ตลาด สนามบิน และส่วนต่าง ๆ ของเทศบาล ในอนาคตอยากจะพัฒนานวัตกรรมออกมาในรูปแบบโมบาย เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน โดยการเก็บตัวอย่างไม่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน แต่สิ่งที่ท้าทายนักวิจัย คือการสกัดเชื้อด้วยวิธีพิเศษ

นายยู่สิน จินตภากร รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา กล่าวเสริมว่า จังหวัดยะลาต้องการหลุดออกจากพื้นที่สีแดงเข้มให้ได้ เพื่อเปิดเมืองให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ได้ไปโรงเรียน ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้ โดยนายกเทศมนตรีฯ ได้ทราบถึงความก้าวหน้าด้านการ swab น้ำโสโครกในชุมชน ของนักวิจัยมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยการสนับสนุนของ วช. จึงอยากรับทราบพื้นที่ที่อาจมีผู้ติดเชื้อของเทศบาลนครยะลาจากการตรวจน้ำดังกล่าว เพื่อจะได้วางมาตรการตอบโต้ของเชื้อได้อย่างเท่าทัน 


ทั้งนี้ โครงการวิจัยได้รับการสนับสนุนทุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำเสียชุมชน  และการวิจัยอย่างเต็มรูปแบบ รวมพื้นที่ประมาณ 34 ตำแหน่ง แบ่งเป็น พื้นที่ในเขตเทศบาลนครยะลา 30 จุด พื้นที่นอกเขตเทศบาล 3 จุด และที่โรงพยาบาลสนามอีก 1 จุด ครอบคลุมตลาดและอาคารสาธารณะต้องสงสัย เพื่อชี้บริเวณของชุมชนที่เป็นฮอตสปอตการระบาดของโควิด-19 และนำตัวอย่างน้ำกลับไปตรวจวิเคราะห์ซากเชื้อ SARS-CoV-2 ด้วย RT-qPCR และ LAMP เพื่อคำนวณร้อยละของผู้ติดเชื้อในชุมชน และรายงานผลเป็นแผนที่ระบุความเสี่ยง คาดการณ์การติดเชื้อล่วงหน้าต่อไป โดยเทศบาลนครยะลาจะนำผลการวิจัยนี้ไปวางมาตรการเชิงรุก เพื่อลดการระบาดในชุมชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การนำทีมลงตรวจ RT-qPCR , ATK หรือการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ โดยทีมวิจัยหวังว่าการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโดยใช้เทคนิค LAMP ร่วมกับ RT-qPCR จะเป็นต้นแบบการสืบสวน และแจ้งเตือนล่วงหน้าหากพบสารพันธุกรรมของเชื้อ ทั้งนี้คณะวิจัยกำลังจัดทำฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับสืบสวนการติดเชื้อในระดับชุมชนด้วยการตรวจซากเชื้อในน้ำเสีย ในอนาคตอาจได้จดสิทธิบัตรนวัตกรรมเป็นครั้งแรกของไทย หากการตรวจหามีประสิทธิภาพสูงขึ้น มหาวิทยาลัยนเรศวรจะเป็นศูนย์กลางในการใช้และถ่ายทอดเทคนิคการตรวจหาเชื้อในน้ำเสียด้วยเทคนิคดังกล่าวต่อไป 

ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า การแก้ปัญหาและรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ถือเป็นวาระแห่งชาติ วช.ได้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ ในฐานะหน่วยงานบริหารงานวิจัยของประเทศ (PMU) และศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง วช. และหน่วยงานประชาคมวิจัยได้เตรียมพร้อมนวัตกรรมทางการแพทย์อื่น ๆ เพื่อการรองรับการระบาดในระลอกใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับการตรวจหาเชื้อ SARS-CoV-2 ในน้ำเสียโดยใช้เทคนิคผสมผสาน ของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร นับเป็นผลงานที่มีความก้าวหน้าและมีประโยชน์ต่อประเทศ สามารถลดต้นทุนการจัดการ เพื่อให้ชุมชนและสังคม สามารถเข้าถึงข้อมูล และการเตือนภัยล่วงหน้าจากการโรคอุบัติใหม่ได้







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น