วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ผู้ถือหุ้นรายย่อยอนุมัติเข้าซื้อธุรกิจสุกรในจีน 99% เสริมซีพีเอฟเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสุกรชั้นนำในโลก

 


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นรายย่อย 99% ให้บริษัทย่อยเข้าซื้อธุรกิจสุกรในประเทศจีน จากการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสุกรของโลก ผู้บริหารมั่นใจเป็นประโยชน์กับบริษัทและเสริมการเติบโตในระยะยาว 

นายประสิทธิ์  บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการสุกรในประเทศจีนครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีในการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดสุกรในประเทศจีนที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกเนื่องจากจำนวนประชากรที่มากและความนิยมในการบริโภคสุกรในประเทศสูง และมีแนวโน้มการเติบโตที่รวดเร็ว  ประกอบกับการเกิดขึ้นของโรค African Swine Flu หรือ ASF ในประเทศจีนใน 3 ปีที่ผ่านมา ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การบริหารการเลี้ยงแบบรักษาไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่ดี  การมีลูกสุกรที่แข็งแรงและระบบการเลี้ยงที่มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพตามมาตรฐานจึงเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จ ซึ่งซีพีเอฟได้ให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด  

ปัจจุบัน บริษัทมีธุรกิจสุกรใน 7 ประเทศ ทั้งประเทศไทย ประเทศเวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย เริ่มลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ และมีการร่วมลงทุนในประเทศรัสเซีย และล่าสุดในประเทศแคนาดา การที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยอนุมัติให้ซีพีเอฟเข้าไปในธุรกิจสุกรครบวงจรในประเทศจีน ทำให้บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสุกรของโลก   

เนื่องจากปริมาณสุกรที่เลี้ยงในประเทศจีนเกินกว่าครึ่งเป็นผลผลิตจากเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเมื่อมีการระบาดของโรค ASF ทำให้เกิดความเสียหายสูง และยังมีโอกาสจะติดโรคอีกครั้งเมื่อกลับมาเลี้ยงใหม่ ส่งผลให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง การเลี้ยงสุกรจะเป็นระบบสร้างคุณค่าร่วม ซีพีเอฟวางแผนการขยายธุรกิจด้วยการส่งเสริมเกษตรกรในการเลี้ยงด้วยมาตรฐานการจัดการที่ทันสมัยปลอดภัยจากโรค และต่อยอดด้วยการพัฒนาธุรกิจแปรรูปสุกรเพิ่มขึ้น ดังนั้น การที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้บริษัทย่อยของซีพีเอฟเข้าลงทุนในธุรกิจสุกรครั้งนี้ จะช่วยเสริมการเติบโตของผลการดำเนินงานในอนาคต  

นายประสิทธิ์กล่าวปิดท้ายเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดที่ยังคงอยู่ว่า เป็นสิ่งท้าทายสำหรับธุรกิจจากความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคน่าจะลดลง อย่างไรก็ตาม ซีพีเอฟได้ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานและในการผลิต บริหารค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ ประกอบกับในหลายประเทศที่ลงทุนนั้นยังมีการขยายพื้นที่การตลาด จึงคาดว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะยังคงดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น